คืนวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ (25 มิถุนายน 2568 ช่วง 08.46 น. ตามเวลาไทย) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เผยแพร่โพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์ Truth Social ว่า สื่อสหรัฐฯ CNN และ New York Times เผยแพร่ข้อมูลผิด กรณีการโจมตีของสหรัฐฯ ไม่สามารถทำลายฐานนิวเคลียร์อิหร่านได้
"CNN ข่าวปลอม ร่วมมือกับนิวยอร์กไทมส์ที่กำลังล่มจม พยายามบั่นทอนหนึ่งในการโจมตีทางทหารที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์! เขตนิวเคลียร์ในอิหร่านถูกทำลายอย่างราบคาบ! ทั้งนิวยอร์กไทมส์และ CNN กำลังโดนประชาชนถล่ม!"
โพสต์นี้เป็นการตอบโต้ข่าวของสำนักข่าว CNN และ New York Times รวมถึงสำนักข่าวอื่น ๆ ที่ชี้ว่า การโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ ไม่ได้ทำลายศักยภาพนิวเคลียร์ของอิหร่านลงอย่างราบคาบอย่างที่ประธานาธิบดีกล่าวอ้างไว้ก่อนหน้า
สำนักข่าวต่างประเทศ Reuters เองก็ชี้ว่า การโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ เพียงแต่ทำให้การผลิตนิวเคลียร์ของอิหร่านล่าช้าออกไปไม่กี่เดือนเท่านั้น ไม่ได้ทำลายฐานนิวเคลียร์ออกไป ข้อมูลดังกล่าวอ้างอิงจากการประเมินเบื้องต้นของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ
ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์อ้างว่า สหรัฐฯ ได้ใช้ระเบิดน้ำหนัก 30,000 ปอนด์ "ทำลายล้าง" โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งขัดแย้งกับการประเมินเบื้องต้นของหน่วยงานข่าวกรองแห่งหนึ่งในรัฐบาลสหรัฐฯ ตามคำกล่าวของแหล่งข่าวของ Reuters 3 รายที่คุ้นเคยกับเรื่องนี้
หนึ่งในแหล่งข่าวกล่าวว่า สต็อกยูเรเนียมเสริมสมรรถนะของอิหร่านยังไม่ได้ถูกทำลายไป และโครงการนิวเคลียร์ของประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ลึกใต้ดิน อาจจะล่าช้าออกไปเพียงหนึ่งหรือสองเดือน ด้านอิหร่านระบุว่า การวิจัยด้านนิวเคลียร์ของตนมีไว้เพื่อการผลิตพลังงานพลเรือนเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อสร้างอาวุธนิวเคลียร์อย่างที่สหรัฐฯ กล่าวอ้าง
ข้อมูลอีกชุดจากรายงานโดยสำนักงานข่าวกรองกลาโหมชี้ว่า การโจมตีปิดทางเข้าโรงงานสองแห่ง แต่ไม่ได้ถล่มอาคารใต้ดินลงมา
ส่วนรายงานของวอชิงตันโพสต์ ซึ่งอ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยชื่อที่คุ้นเคยกับประเด็นนี้ กล่าวว่า เซ็นทริฟิวจ์ หรือเครื่องจักรสำคัญในการผลิตยูเรเนียมเสริมสมรรถนะ บางเครื่องยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์หลังการโจมตี
ด้านทำเนียบขาวตอบโต้ชุดข้อมูลของหน่วยข่าวกรองว่า การประเมินของหน่วยข่าวกรองนั้น “ผิดอย่างสิ้นเชิง” และรัฐบาลทรัมป์แจ้งต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเมื่อวันอังคารว่า การโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน “เสื่อมถอยลง” ซึ่งไม่ตรงกับคำกล่าวอ้างก่อนหน้านี้ของทรัมป์ที่ว่าโรงงานเหล่านั้นถูก “ทำลายล้าง”
หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทำหน้าที่เป็นตัวกลางผู้สร้างสันติภาพ ประกาศว่าสามารถทำให้เกิดข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิหร่านและอิสราเอลได้แล้วเมื่อช่วงเช้าของวันอังคารที่ 25 มิถุนายนตามเวลาไทย ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวเริ่มดำเนินการแล้ว แต่ยังมีความไม่มั่นคงอยู่
หลังประกาศข้อตกลงหยุดยิงผ่าน Truth Social และมีการละเมิดการหยุดยิงจาก 2 ชาติ โดยสำนักงานของเนทันยาฮูยอมรับว่า อิสราเอลได้ทิ้งระเบิดใส่สถานีเรดาร์ใกล้เตหะราน ซึ่งกล่าวว่าเป็นการตอบโต้ขีปนาวุธของอิหร่านที่ยิงออกมา 3 ชั่วโมงครึ่งหลังจากเวลาที่ข้อตกลงหยุดยิงควรจะเริ่มต้นขึ้น ด้านอิหร่านกล่าวว่า อิสราเอลยังคงโจมตีต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ชั่วโมงครึ่งหลังจากเวลาที่ข้อตกลงควรจะมีผ
ทรัมป์ได้ออกมาตำหนิทั้งสองฝ่ายก่อนออกจากทำเนียบขาวไปประชุม NATO
“ผมต้องทำให้อิสราเอลใจเย็นลงหน่อย” ทรัมป์กล่าว “อิหร่านและอิสราเอลสู้กันมานานและหนักหน่วงจนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำบ้าอะไรอยู่”
ต่อมาทั้งอิหร่านและอิสราเอลส่งสัญญาณว่า สงครามทางอากาศระหว่างทั้งสองชาติได้สิ้นสุดลงแล้ว อย่างน้อยในขณะนี้ เป็นสัญญาณการจบลงของสงคราม 12 วัน แม้ว่าแต่ละฝ่ายต่างอ้างว่าตนเป็นผู้ชน
นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู กล่าวเมื่อวันอังคารว่าการโจมตีอิหร่านได้ขจัดภัยคุกคามจากการล้างเผ่าพันธุ์ด้วยนิวเคลียร์ และมีความตั้งใจจะสกัดกั้นความพยายามใด ๆ ของอิหร่านในการรื้อฟื้นโครงการอาวุธของตน
“เราขจัดภัยคุกคามสองประการต่อการอยู่รอดไปทันที: ภัยคุกคามจากการถูกล้างเผ่าพันธุ์ด้วยนิวเคลียร์ และภัยคุกคามจากขีปนาวุธกว่า 20,000 ลูก” เนทันยาฮูกล่าว
ด้านสื่ออิหร่านเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีอิหร่าน มาซูด เปเซชเคียน กล่าวว่า ประเทศของเขาได้ยุติสงครามอย่างสำเร็จแล้ว กล่าวว่าการยุติสงครามครั้งนี้คือ “ชัยชนะอันยิ่งใหญ่” นอกจากนี้สื่อทางการอิหร่าน สำนักข่าว IRNA ยังเผยว่า เปเซชเคียนบอกกับมกุฎราชกุมาร โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน แห่งซาอุดีอาระเบียว่า เตหะรานพร้อมจะแก้ไขความขัดแย้งกับสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้มีความเปราะบางและไม่มั่นคงอยู่ เพราะนอกจากต่างฝ่ายต่างอ้างในความเป็น “ผู้ชนะ” และความสำเร็จเหนือการสิ้นสุดลงของสงครามซึ่งคาดว่ามีผลต่อความนิยมและการเมืองภายในประเทศ ทั้งอิสราเอลและอิหร่านใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะยอมรับว่าได้ตกลงหยุดยิง และต่างกล่าวหากันว่าละเมิดข้อตกลง
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกล่าวว่า ทรัมป์เป็นผู้เจรจาข้อตกลงหยุดยิงกับเนทันยาฮูโดยตรง และเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารคนอื่น ๆ เป็นผู้ติดต่อกับรัฐบาลอิหร่าน ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเผยว่า ทรัมป์ตำหนิอิสราเอลอย่างรุนแรงต่อการเปิดฉากโจมตีครั้งนี้ และขอให้อิสราเอล “ใจเย็นลง” ซึ่งอิสราเอลก็ทำตามคำขอของสหรัฐฯ หยุดการโจมตีต่อเนื่อง
รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล อิสราเอล คัตซ์ กล่าวกับพันธมิตรในสหรัฐฯ พีท เฮกเซธ ว่า ประเทศของเขาจะเคารพข้อตกลงหยุดยิง เว้นแต่อิหร่านจะละเมิด เปเซชเคียนก็กล่าวในทำนองเดียวกันว่าอิหร่านจะเคารพข้อตกลงตราบใดที่อิสราเอลก็ทำเช่นนั้น ตามรายงานของสื่ออิหร่าน
อิสราเอลเริ่มต้นสงครามทางอากาศแบบไม่ทันตั้งตัวเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ด้วยการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านและสังหารผู้บัญชาการระดับสูงหลายคนของกองทัพ ซึ่งถือว่าเป็นการโจมตีที่รุนแรงที่สุดต่อสาธารณรัฐอิสลามนับตั้งแต่สงครามกับอิรักในช่วงทศวรรษ 1980
อิหร่านตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธถล่มฐานทัพและเมืองต่าง ๆ ของอิสราเอล ดึงเอาสหรัฐฯ ผู้สนับสนุนใหญ่อิสราเอลเข้าร่วม สหรัฐฯ โจมตีฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามมาด้วยการโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ในดูไบของอิสราเอล ก่อนข้อตกลงหยุดยิงจะถูกประกาศออกมาโดยทรัมป์
ทางการอิหร่านกล่าวว่ามีผู้เสียชีวิต 610 รายในประเทศจากการโจมตีของอิสราเอล และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4,746 คน ขณะที่การตอบโต้ด้วยขีปนาวุธของอิหร่านทำให้มีผู้เสียชีวิต 28 รายในอิสราเอล นับเป็นครั้งแรกที่ระบบป้องกันทางอากาศของอิสราเอลถูกเจาะโดยขีปนาวุธอิหร่านจำนวนมาก
ราคาน้ำมันร่วงลงและตลาดหุ้นทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น แสดงถึงความเชื่อมั่นที่ได้รับจากข้อตกลงหยุดยิงซึ่งช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับการหยุดชะงักของการส่งออกน้ำมันที่สำคัญจากภูมิภาคอ่าว และแม้ว่าข้อตกลงจะยังเปราะบาง ซึ่งเป็นผลมาจากรอยร้าวความไม่ไว้วางใจ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของสหรัฐฯ ที่มีเหนือภูมิภาคนี้
หลังข้อตกลงหยุดยิงถูกประกาศ กองทัพอิสราเอลยกเลิกข้อจำกัดกิจกรรมทั่วประเทศเมื่อเวลา 20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น สนามบินเบนกูเรียน สนามบินหลักของประเทศใกล้เทลอาวีฟเปิดทำการอีกครั้ง
ผู้บัญชาการกองทัพอิสราเอล เอียล ซามีร์ กล่าวว่า “บทสำคัญ” ของความขัดแย้งได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่ปฏิบัติการต่อต้านอิหร่านยังไม่จบสิ้น เขากล่าวว่ากองทัพจะหันไปมุ่งเน้นที่สงครามกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน