นับตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ภูมิภาคตะวันออกกลางที่กำลังเจอสงครามอยู่ก็ซวนเซไปมากับข้อตกลงหยุดยิงที่แลดูเปราะบางเสียเหลือเกิน แต่เมื่อดูเหมือนว่า ข้อตกลงดังกล่าวกำลังจะเกิดขึ้นจริงแล้ว สงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่ดำเนินมา 12 วัน หรือที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เรียกว่า “สงคราม 12 วัน” ดำเนินมาถึงจุดจบแล้วในตอนนี้
แต่ขณะเดียวกัน ทั้งประธานาธิบดีทรัมป์ นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสรเาอลและเหล่าผู้นำของอิหร่าน ต่างออกมาอ้างว่า ข้อตกลงหยุดยิงที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นได้โดยวางอยู่บนเงื่อนไขที่ตนเองตั้ง
Spotlight พาไปหาคำตอบว่า อะไรคือเรื่องจริงข้อตกลงหยุดยิงดังกล่าว อิสราเอลและอิหร่านได้อะไรจากข้อตกลงนี้
แม้อิสราเอลจะมองว่าอิหร่านเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่งต่อการมีอยู่ของประเทศมานานหลายปี แต่ที่ผ่านมา อิหร่านก็ไม่เคยโจมตีสถานที่นิวเคลียร์ของอิหร่านโดยตรง แต่เมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา อิสราเอลได้ข้ามเส้นอันตรายที่เคยขีดไว้ ด้วยการโจมตีเป้าหมายของโรงงานเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมที่นาทานซ์ (Natanz) และศูนย์เทคโนโลยีนิวเคลียร์อิสฟาฮาน (Isfahan) ส่งผลให้อิหร่านตอบโต้ด้วยโดรนและขีปนาวุธถล่มใส่อิสราเอล
ก่อนหน้านี้ อิสราเอลเคยโจมตีโครงการนิวเคลียร์ในซีเรียและอิรักมาแล้ว แต่ปฏิบัติการครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจที่ซับซ้อนในระยะที่ไกลยิ่งขึ้น นอกจากนี้ อิสราเอลยังสามารถยืนหยัดท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากนานาชาติที่ตั้งข้อสงสัยถึงความชอบธรรมทางกฎหมายของปฏิบัติการดังกล่าว โดยอิสราเอลอ้างว่า เป็นการป้องกันตนเองล่วงหน้า แม้หลายฝ่ายจะไม่เห็นด้วยว่าอิหร่านกำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ หรือมีแผนใช้โจมตีอิสราเอลในระยะเวลาอันใกล้ก็ตาม
นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู กล่าวกับสื่อเมื่อวันที่ 18 มิถุนายนว่า เขาพูดคุยกับผู้นำหลายประเทศ ซึ่งประทับใจในความมุ่งมั่นของอิสราเอลและความสำเร็จของกองทัพอิสราเอลอย่างมาก”
อีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของอิสราเอลคือ การแสดงให้เห็นว่าสามารถโน้มน้าวให้สหรัฐฯ เข้าร่วมปฏิบัติการทางทหารที่อิสราเอลเป็นผู้เริ่มต้นได้ โดยในอดีต สหรัฐฯ เคยให้การสนับสนุนทางวัตถุในสงครามปี 1967 และ 1973 แต่ไม่เคยส่งกำลังเข้าเกี่ยวข้องโดยตรงเหมือนครั้งนี้
เนทันยาฮูยังกล่าวขอบคุณทรัมป์ ที่ยืนหยัดเคียงข้างอิสราเอล
แม้อิสราเอลจะสามารถสร้างความเสียหายต่อเป้าหมายบนพื้นดินในอิหร่านได้อย่างมีนัยสำคัญ และสหรัฐฯ อ้างว่า สามารถทำลายสิ่งอำนวยความสะดวกใต้ดินที่เกี่ยวข้องกับโครงการนิวเคลียร์ได้ แต่ยังไม่มีการยืนยันจากแหล่งอิสระว่าเป้าหมายที่ถูกโจมตีนั้นได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใด โดยยังต้องรอการตรวจสอบจากภาคสนาม
ราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ซึ่งเป็นองค์กรตรวจสอบด้านนิวเคลียร์ของสหประชาชาติ กล่าวเมื่อวันจันทร์หลังจากการโจมตีของสหรัฐฯ ว่า “ขณะนี้ ยังไม่มีใคร รวมถึง IAEA ด้วย ที่สามารถประเมินความเสียหายใต้ดินที่เขตฟอร์โดว์ได้อย่างครบถ้วน และเสริมว่า จากปริมาณวัตถุระเบิดที่ใช้ และธรรมชาติของเครื่องหมุนเหวี่ยงที่ไวต่อแรงสั่นสะเทือนอย่างมาก คาดว่าจะมีความเสียหายรุนแรงเกิดขึ้น
อีกหนึ่งประเด็นที่ยังไม่ชัดเจนคือ แหล่งเก็บยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูงจำนวน 400 กิโลกรัม (880 ปอนด์) ซึ่ง IAEA ระบุว่า อิหร่านมีครอบครองอยู่ในขณะนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ด้านโมฮัมหมัด เอสลามี หัวหน้าองค์การพลังงานปรมาณูแห่งชาติของอิหร่าน แสดงความเชื่อมั่นว่า โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านจะยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่สะดุด โดยระบุผ่านสำนักข่าว Mehr เมื่อวันอังคารว่า อิหร่านวางแผนรับมือไว้ล่วงหน้าแล้ว และตั้งเป้าหมายว่าจะไม่มีการหยุดชะงักทั้งในด้านการผลิตและการบริการ
ขณะเดียวกัน ยังคงมีความสับสนเกี่ยวกับที่มาของขีปนาวุธสองลูกที่ตกในอิสราเอลช่วงเช้าวันอังคาร ราวสามชั่วโมงครึ่งหลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ โดยรัฐบาลอิหร่านได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ยิงขีปนาวุธดังกล่าว
คำถามจึงยังคงค้างคา ขีปนาวุธดังกล่าวมาจากใคร? และเป็นความตั้งใจหรือความผิดพลาด เหมือนกรณีในปี 2021 ที่อิหร่านยิงขีปนาวุธพลาดไปถล่มเครื่องบินโดยสารของยูเครน จนมีผู้เสียชีวิตถึง 176 คน?
แม้อิสราเอลและอิหร่านจะตกลงกันได้ในเรื่อง "การหยุดยิง" แต่ก็ยังไม่ได้หมายถึงการทำ "สันติภาพ" อย่างแท้จริง เพราะข้อตกลงหยุดยิงไม่ใช่ข้อตกลงสันติภาพ
สำหรับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน นักวิเคราะห์มองว่า มีทางเลือกในอนาคตอยู่สองแนวทางหลัก
หนึ่งคือการ กลับมารื้อฟื้นการตรวจสอบโดยสหประชาชาติ (UN) ต่อเขตนิวเคลียร์ของอิหร่าน และการจัดทำข้อตกลงฉบับใหม่กับรัฐบาลอิหร่าน อาจมีลักษณะคล้ายกับ “แผนปฏิบัติการร่วมอย่างครอบคลุม” (JCPOA) ที่อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา เคยลงนามร่วมกับอิหร่านในปี 2015 ก่อนที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าวในภายหลัง
ในเรื่องนี้ มหาอำนาจยุโรปอาจมีบทบาทสำคัญ โดยสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเยอรมนี ได้พบหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน อับบาส อารักชี เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ร่วมกับนางคายา คัลลาส หัวหน้านโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป เพื่อพยายามหลีกเลี่ยงการโจมตีจากสหรัฐฯ แม้ความพยายามจะล้มเหลว แต่ก็สะท้อนว่ายุโรปสามารถเป็นน้ำหนักถ่วง อำนาจแข็งกร้าวของสหรัฐฯ และอิสราเอลได้
ดร.โยอานนิส โคทูลาส ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเอเธนส์ กล่าวกับ Al Jazeera ว่า อิหร่านจะพยายามโน้มน้าวยุโรปด้วยการเสนอมาตรการตรวจสอบที่เข้มข้นขึ้น และให้คำมั่นในโครงการนิวเคลียร์ของตน และสหรัฐฯ อาจยอมรับโครงการนิวเคลียร์ที่มีจุดประสงค์สันติ แต่ดูเหมือนว่าสหรัฐฯ จะไม่พยายามเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองในอิหร่านอีกต่อไป ตอนนี้ยุโรปคือทางรอดเดียวของอิหร่าน เพราะรัสเซียไม่น่าไว้วางใจ
แต่อิสราเอลกลับต่อต้านข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างตะวันตกกับอิหร่านมาโดยตลอด และไม่น่าจะยอมรับข้อตกลงใหม่ได้ง่าย ๆ
คำถามที่ตามมาคือ อิหร่านจะยอมประนีประนอมได้หรือไม่? หลังจากที่สหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงเดิม เปลี่ยนเงื่อนไขระหว่างการเจรจา และท้ายที่สุดยังร่วมกับอิสราเอลโจมตีสถานที่นิวเคลียร์ของอิหร่าน ทั้งที่กำลังอยู่ในช่วงพูดคุยเรื่องข้อตกลงใหม่ อย่างไรก็ตาม ท่าทีของอิหร่านในขณะนี้ยังคงแข็งกร้าว