5 มิถุนายน 2568 สหรัฐฯ วีโต้ ค้านร่างมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ที่เรียกร้องให้มีการหยุดยิงถาวรในกาซาโดยทันที อย่างไม่มีเงื่อนไข หลังอิสราเอลโจมตีพื้นที่ฉนวนกาซาหนัก ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 คนในเวลา 24 ชั่วโมง และปิดช่องทางการขนส่งความช่วยเหลือ
ร่างของ UNSC กล่าวว่า สถานการณ์ในกาซานั้น “หายนะ” และต้องการให้ “ยกเลิกข้อจำกัดทั้งหมดในการนำเข้าและกระจายความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่ฉนวนกาซาทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข และให้สามารถกระจายความช่วยเหลือในวงกว้างได้อย่างปลอดภัยและไม่ถูกขัดขวาง รวมถึงโดยสหประชาชาติและพันธมิตรด้านมนุษยธรรม”
ร่างมติหยุดยิงครั้งนี้เสนอโดยประเทศสมาชิก 10 ประเทศคือ อัลจีเรีย เดนมาร์ก กรีซ กายอานา ปากีสถาน ปานามา เกาหลีใต้ เซียร์ราลีโอน สโลวีเนีย และโซมาเลีย ส่วนประเทศสมาชิกอื่นๆ เช่น รัสเซีย จีน ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ต่างก็ลงมติเห็นชอบด้วย
ขณะที่ประเทศสมาชิกอื่นๆ อีก 14 ประเทศล้วนโหวตเห็นชอบ นี่เป็นครั้งที่ 5 แล้วที่สหรัฐฯ ค้านร่างหยุดยิงในกาซาของ UNSC เพื่อปกป้องอิสราเอล ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ เคยวีโต้ลักษณะเดียวกันในสมัยของอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน
รักษาการเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ โดโรธี เชีย แสดงจุดยืนของสหรัฐฯ ที่คัดค้านมติดังกล่าวอย่างชัดเจน โดยระบุว่า “ไม่ควรเป็นเรื่องน่าแปลกใจ” และแม้มติจะเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันอิสราเอลในกาซา แต่สหรัฐฯ กล่าวว่า การหยุดยิงเป็นข้อเรียกร้องที่ไม่อาจรับได้เนื่องจากไม่ได้เกี่ยวพันโดยตรงกับการปล่อยตัวประกัน
“สหรัฐฯ ถือสถานะอันแน่นอนเสมอมาตั้งแต่ความขัดแย้งครั้งนี้เริ่มต้น นั่นคือ อิสราเอลมีสิทธิป้องกันตนเอง ซึ่งนับรวมการปราบฮามาส และทำให้แน่ใจว่าพวกเขาไม่มีทางอยู่ในสถานะที่จะเป็นอันตรายต่ออิสราเอลได้” เธอกล่าวกับคณะมนตรีฯ
มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวในแถลงการณ์หลังการลงคะแนนเสียงว่า
“วันนี้ สหรัฐฯ ส่งสารอันหนักแน่นด้วยการใช้อำนาจยับยั้ง (veto) มติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติว่าด้วยกาซา ซึ่งเป็นมติที่ส่งผลเสียและพุ่งเป้าโจมตีอิสราเอล” และกล่าวว่า สหรัฐฯ จะไม่สนับสนุนร่างมติที่ “สร้างความเท่าเทียมอย่างผิดๆ ระหว่างอิสราเอลกับฮามาส หรือที่ไม่ยอมรับสิทธิของอิสราเอลในการป้องกันตนเอง” พร้อมทั้งยืนยันอีกด้วยว่า
“สหรัฐฯ จะคงยืนเคียงข้างอิสราเอลในสหประชาชาติต่อไป”
ด้านอิสราเอลก็ออกตัวขอบคุณสหรัฐฯ ต่อการวีโต้ครั้งนี้เช่นกัน กิเดโอน ซาอาร์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลกล่าวว่า
“ผมขอขอบคุณ @POTUS (ประธานาธิบดีสหรัฐฯ) และรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับอิสราเอล และวีโต้ มติลำเอียงของ UNSC [...] จุดประสงค์ของมตินี้ มีเพียงเพื่อเสริมสร้างให้ฮามาสเข้มแข็ง และบ่อนทำลายความพยายามของสหรัฐฯ ในการบรรลุข้อตกลงแลกตัวประกัน”
ประเทศสมาชิกอื่น ๆ ต่างวิจารณ์การวีโต้ของสหรัฐฯ เจโรม บอนนาฟงต์ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำสหประชาชาติกล่าวว่า
“คณะมนตรีฯ ถูกขัดขวางไม่ให้แบกรับความรับผิดชอบของตนไว้ได้ ทั้งที่เราส่วนใหญ่ดูเหมือนจะมีจุดยืนร่วมกันแล้ว”
ส่วนเอกอัครราชทูตจีน ฟู่ ฉง กล่าวว่า การกระทำของอิสราเอลได้ “ล้ำเส้นทุกเส้น” ของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และเป็นการละเมิดมติของสหประชาชาติอย่างร้ายแรง “แต่เนื่องจากได้รับการคุ้มครองจากประเทศหนึ่ง การละเมิดเหล่านี้จึงยังไม่ได้รับการยุติหรือถูกนำตัวมารับผิดชอบ”
เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร บาร์บารา วูดวาร์ด เรียกระบบจัดสรรความช่วยเหลือใหม่ของอิสราเอลว่า “ไร้มนุษยธรรม” และกล่าวว่า อิสราเอล “ต้องยุติข้อจำกัดด้านการให้ความช่วยเหลือทันที”
“การตัดสินใจของรัฐบาลอิสราเอลที่จะขยายปฏิบัติการทางทหารของตนในกาซา และจำกัดความช่วยเหลืออย่างรุนแรงนั้น ไม่มีทางพิสูจน์ความชอบธรรมได้ เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ และส่งผลเสียมากกว่าผลดี” เธอกล่าว
เอกอัครราชทูตปากีสถานประจำสหประชาชาติกล่าวว่า มติที่ไม่ผ่านนี้จะ “ไม่เพียงเป็นตราบาปทางศีลธรรมในมโนธรรมของคณะมนตรีฯ แห่งนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจทางการเมืองที่สำคัญ ซึ่งจะส่งแรงสะเทือนต่อไปอีกหลายชั่วอายุคน”