‘Carbonwize’ (คาร์บอนไวซ์) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พัฒนา ‘SET Carbon’ แพลตฟอร์มการจัดการข้อมูลก๊าซเรือนกระจกกลาง ที่ทำให้การรายงานก๊าซเรือนกระจกแบบเดิม สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น ถูกต้องแม่นยำ และเป็นที่ยอมรับในสากล โดยต่อยอดเพื่อการวางแผนลดก๊าซเรือนกระจก และมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero
โดยการร่วมมือของทั้งสองฝ่าย เกิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะเร่งเครื่องบริษัทจดทะเบียนบนกระดาน SET และ mai รวมกว่า 840 บริษัท มุ่งหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ผ่านก้าวแรกที่สำคัญ คือ การจัดการข้อมูลก๊าซเรือนกระจก ด้วยระบบดังกล่าวที่จะช่วยอำนวยความสะดวกบริษัทจดทะเบียนในการจัดเตรียมข้อมูล ผ่านการจัดหมวดหมู่ข้อมูลตามประเภทอุตสาหกรรม ระบบการคำนวณแบบอัตโนมัติ ระบบการบูรณาการข้อมูลผ่านการเชื่อมต่อกับหน่วยงานต่างๆ การทำรายงานตามมาตรฐาน และการรับรองความถูกต้องของข้อมูล
ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะถูกนำมาจัดทำรายงานประจำปี ‘56-1 One Report’ ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำหนดไว้ อีกทั้งบริษัทยังสามารถนำรายงานไปเผยแพร่เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและนักลงทุนได้อีกด้วย โดยเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ที่ผ่านมา Carbonwize ได้เริ่มทดสอบระบบ SET Carbon ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ และอีก 20 บริษัทจดทะเบียน จากทั้ง 8 กลุ่มอุตสาหกรรมแล้ว
Carbonwize ชี้ เงินลงทุนสถาบันพุ่งเป้า ESG แตะ 1.2 พันล้านล้านในอีก 2 ปี
คุณนัชชา เลิศหัตถศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Carbonwize เผยว่า บริษัทรู้สึกยินดีที่อย่างยิ่งที่ได้เป็นพันธมิตรกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในการเตรียมระบบจัดการข้อมูลก๊าซเรือนกระจกที่จะช่วยบริษัทจดทะเบียนในตลาด SET และ mai รวมกว่า 840 แห่ง สอดคล้องกับพันธกิจของ Carbonwize ที่มีเป้าหมายในการขยายผลสู่บริษัทจำกัด และบริษัทมหาชนในประเทศไทยกว่า 700,000 ราย เพื่อมุ่งสู่เส้นทาง Net Zero
โดยข้อมูลก๊าซเรือนกระจกที่ถูกรวบรวมไว้บนแพลตฟอร์ม จะช่วยให้บริษัททั้งหลาย เข้าใจถึงแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากธุรกิจ เพื่อนำมาวางกลยุทธ์ สร้างแผนปฏิบัติการในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังตามมาด้วยการลงมือปฏิบัติตามแผนการเหล่านั้น เพื่อปรับเปลี่ยนการดำเนินการสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ
นอกจากนี้ การวางรากฐานระบบการรายงานข้อมูลด้านความยั่งยืนที่เข้มแข็งให้กับบริษัทจดทะเบียนของไทย ยังเป็นการดึงดูดเงินลงทุนจากนักลงทุนสถาบัน ที่ปัจจุบันเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่เปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนอย่างโปร่งใสและชัดเจน
โดย PwC คาดการณ์ว่า สินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ของเงินลงทุนของนักลงทุนสถาบันที่โฟกัสประเด็นเรื่องความยั่งยืนจะสูงถึง 33.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.24 พันล้านล้านบาท ในปี 2026 เติบโตขึ้น 12.9% คิดเป็นสัดส่วน 21.5% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับวางรากฐานระบบจัดการข้อมูลก๊าซเรือนกระจกสำหรับบริษัทจดทะเบียน และการวัดประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร เป็นอีกก้าวสำคัญในการก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2065 และยังเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่จะบังคับใช้ในอนาคตอันใกล้นี้ ที่จะเข้มงวดเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น
ดังนั้น การมีฐานข้อมูลที่เข้มแข็ง จะช่วยให้องค์กรวางแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดทั้งของไทยและของนานาชาติ รวมถึงทำให้ธุรกิจขององค์กรสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น