
คนไทยกำลังให้ความสนใจกับเหตุอาสาสมัครกู้ภัยที่ขับเจ็ตสกีเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้ถูกยิงปืนไล่หลัง 3 นัด จนทำให้ต้องยุติภารกิจและถอนตัวออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย ท่ามกลางเสียงบ่นของผู้ประสบภัยในพื้นที่ว่าแรงกระเพื่อมของน้ำจากเจ็ตสกีทำให้บ้านเรือนของพวกเขาเสียหาย แถมขับผ่านไปมาหลายรอบแต่ไม่จอดให้ความช่วยเหลือ ก่อนที่กู้ภัยคนดังกล่าวเผยกว่ากำลังอยู่ระหว่างการสำรวจเส้นทาง รวมถึงมีชาวบ้านที่เดือดร้อนอยู่ในขั้นวิกฤตมากกว่า รวมถึงมีความจำเป็นที่ต้องขับเร็วเพื่อให้เจ็ตสกีทรงตัวในน้ำได้อย่างปลอดภัย
เหตุมหาอุทกภัยทางภาคใต้ของประเทศไทยขณะนี้ ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า หากนำเครื่องมือโดรนมาใช้งาน จะเหมาะกว่าการนำเจ็ตสกีมาขับหรือแม้แต่การให้ความช่วยเหลือด้วยเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งต้องระมัดระวังกับสภาพอากาศหรือไม่
Spotlight รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องมือโดรนที่ใช้ในเหตุน้ำท่วมใหญ่ ก่อนหน้านี้มีการนำมาใช้ในประเทศอื่น ๆ อย่างไรบ้าง ยังมีข้อจำกัดอะไร และงานแบบไหนที่เหมาะกับการใช้โดรน ตั้งแต่การเตรียมการรับมือ การอพยพ การกู้ภัยในช่วงวิกฤต ไปจนถึงการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม
ก่อนจะเกิดเหตุอุทกภัย หรือภัยพิบัติใด ๆ หน่วยงานมักใช้โดรนสำรวจพื้นที่ (Survey Drones) ในการสำรวจพื้นที่ที่อาจเกิดภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว หรืออัคคีภัย เพื่อประเมินความเสียหาย ตรวจสอบสภาพพื้นที่ และให้ข้อมูลที่จำเป็นในการตัดสินใจ ปัจจุบันโดรนที่ขับเคลื่อนด้วย AI นำเสนอวิธีการประเมินและรับมือกับความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่ชาญฉลาด ซึ่งสามารถทดแทนการประเมินน้ำท่วมแบบดั้งเดิมที่อาศัยการสำรวจภาคพื้นดิน การตรวจสอบด้วยมือ และภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อจำกัดอย่างมาก
เทคโนโลยีโดรนขั้นสูงที่ติดตั้งเซ็นเซอร์แบบมัลติสเปกตรัม LiDAR และไฮเปอร์สเปกตรัม เพื่อการทำแผนที่พื้นที่น้ำท่วมและการสร้างแบบจำลองภูมิประเทศสามมิติที่แม่นยำ เทคโนโลยีนี้ช่วยในการทำความเข้าใจการไหลของน้ำ ระบุพื้นที่ลุ่ม และประเมินความเสี่ยงจากน้ำท่วม กรณีศึกษาล่าสุดในเมืองอัลไอน์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของวิธีการนี้
เมื่อเกิดน้ำท่วมฉับพลันและฝนตกหนัก โจมตีพื้นที่ฝั่งตะวันออกของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เทศบาลเมืองอัลไอน์ ได้ทำแผนที่พื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดรนทำให้เห็นทัศนวิสัยจากมุมสูงที่ยอดเยี่ยม พร้อมด้วยความแม่นยำของข้อมูล สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลครอบคลุมพื้นที่ 65 ตารางกิโลเมตร ภายในระยะเวลาที่สั้นมาก
ผลลัพธ์ที่สำคัญของการทำแผนที่น้ำท่วมคือ การระบุพื้นที่ลุ่ม (Low-lying areas) ที่น้ำท่วมจะไหลไปรวมตัวและขังอยู่ ในกรณีที่เกิดน้ำท่วมขึ้นอีกครั้ง พื้นที่ลุ่มเหล่านี้จะได้รับผลกระทบมากที่สุด และจะต้องมีการดำเนินการเพื่อบรรเทาความเสี่ยงดังกล่าว แต่ข้อจำกัดของโดรนสำรวจแผนที่คือหากสภานการณ์น้ำท่วมสูงและกระจายตัวอย่างรวดเร็ว หากเก็บข้อมูลช้าเกินไป พื้นที่ลุ่มเหล่านั้นจะไม่สามารถระบุได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม หากเหตุอุทกภัยเริ่มต้นขึ้นแล้ว จะมีโดรนอีกประเภทที่ทำหน้าที่เป็น "ดวงตาทางอากาศ" ที่ให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ (Real-time) เพื่อช่วยให้ศูนย์บัญชาการสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ส่งภาพวิดีโอสดที่มีความละเอียดสูงจากมุมสูงกลับมายังศูนย์ปฏิบัติการ ช่วยให้เจ้าหน้าที่ทราบขอบเขตของน้ำท่วม, กระแสน้ำ, และความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน *
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ในประเทศเวียดนาม ได้มีการรายงานปฏิบัติการกู้ภัยที่ใช้ โดรน เข้าช่วยชีวิตผู้ประสบภัยน้ำท่วมอย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลางและที่ราบสูงตอนกลางที่เผชิญกับน้ำท่วมและดินถล่มรุนแรง เกษตรกรรายหนึ่งติดอยู่บนเกาะเล็ก ๆ กลางแม่น้ำเซเรป็อก จังหวัดดั๊กลัก เป็นเวลาประมาณ 2 วัน เนื่องจากเรือหาปลาล่มจากกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก
เจ้าหน้าที่กู้ภัยและชาวบ้านได้ตัดสินใจใช้โดรนเกษตรกรรม (Agricultural Drone) ที่มีความสามารถในการบรรทุกน้ำหนักสูง โดรนถูกใช้บินเหนือจุดที่ติดอยู่ จากนั้นได้หย่อนเชือกหรืออุปกรณ์กู้ภัยลงไปให้ชายคนดังกล่าว เพื่อดึงเขาขึ้นจากกระแสน้ำที่รุนแรงและนำเขากลับสู่พื้นที่ปลอดภัยได้สำเร็จ เป็นการแสดงให้เห็นถึงการปรับใช้โดรนที่เดิมใช้ในการเกษตร มาเป็นเครื่องมือช่วยชีวิตที่มีประสิทธิภาพ เมื่อวิธีการกู้ภัยแบบดั้งเดิม อย่างเรือ เจ็ตสกี หรือเฮลิคอปเตอร์ ไม่สามารถเข้าถึงได้เนื่องจากกระแสน้ำที่รุนแรง
อีกกรณีหนึ่งในเหตุน้ำท่วมเดียวกันนี้ ตำรวจและชาวบ้านในจังหวัดดั๊กลักได้ใช้โดรนในการค้นหาชายสองคนที่เรือล่มกลางแม่น้ำกรงปัก ซึ่งมีกระแสน้ำไหลเชี่ยว โดรนถูกนำมาใช้เพื่อ ค้นหาและระบุตำแหน่งที่แม่นยำ (Pinpoint Location) ของผู้ประสบภัยรายหนึ่งที่ติดอยู่ใกล้สะพาน C7 ทำให้ทีมกู้ภัยสามารถวางแผนและนำกำลังเข้าช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ เวียดนามยังใช้โดรนในการลำเลียงสิ่งของบรรเทาทุกข์ในดานังและพื้นที่โดยรอบ เจ้าหน้าที่ได้มีการใช้โดรนขนาดใหญ่ ที่สามารถบรรทุกน้ำหนักได้มาก เพื่อส่งมอบ อาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค และสิ่งของจำเป็นให้กับครัวเรือนที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเนื่องจากน้ำท่วมถนนและกระแสน้ำเชี่ยว เหตุการณ์เหล่านี้เน้นย้ำว่าโดรนไม่เพียงแต่ใช้ในการเฝ้าระวังเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือช่วยชีวิตและโลจิสติกส์ที่สำคัญ ในสถานการณ์ภัยพิบัติที่เข้าถึงยาก
ก่อนหน้านี้ อินเดียซึ่งเผชิญกับภาวะน้ำท่วมครั้งใหญ่และดินถล่มบ่อยครั้ง ได้ออกแบบระบบโดรนกู้ภัยทางน้ำเฉพาะกิจ มีการใช้โดรนกู้ภัยทางน้ำ ITUS (ITUS Water Drone) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาจากต่างประเทศ โดรนนี้สามารถบรรทุกสิ่งของได้มากถึง 100 กิโลกรัม ใช้ในการลำเลียงสิ่งของบรรเทาทุกข์ เช่น อาหารและยา และมีศักยภาพในการ ช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในบ้านหรืออาคาร ขณะที่ทีมกู้ภัยต้องเผชิญกับภูมิประเทศที่ยากลำบากและน้ำหลาก
โดรนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในระยะการฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วม (Post-Flood Recovery) โดยการให้ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่จำเป็นสำหรับการประเมินความเสียหาย การวางแผนการซ่อมแซม และการเตรียมการป้องกันในอนาคต โดรนจะช่วยตรวจสอบสะพานและถนน รางรถไฟ ที่ถูกกระแสน้ำกัดเซาะ เพื่อประเมินความเสียหายเชิงโครงสร้างอย่างละเอียด โดยไม่ต้องเสี่ยงให้เจ้าหน้าที่เข้าใกล้โครงสร้างที่อาจพังทลาย
รวมไปถึงการตรวจสอบระบบสาธารณูปโภค สำรวจ สายไฟฟ้า เสาส่งสัญญาณ และท่อส่งน้ำ ที่อาจได้รับความเสียหายหรือถูกกระแสน้ำพัดพาไป และสำรวจหลังคาและโครงสร้างของอาคารที่พักอาศัยและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ เพื่อประเมินความเสียหายภายนอก ทำให้การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนและการจัดสรรเงินช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
มีกรณีศึกษาในต่างประเทศหลายแห่งที่ใช้โดรนในการฟื้นฟูหลังน้ำท่วมอย่างโดดเด่นและประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในด้านการประเมินความเสียหายเชิงปริมาณและการวางแผนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ กรณีศึกษาในเมืองเฮอร์เลย์ รัฐเวอร์จิเนีย หลังเผชิญกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ในเดือนสิงหาคม 2021 แสดงให้เห็นถึงการใช้โดรนในเชิงรุกเพื่อวางแผนป้องกันในอนาคต
สหรัฐฯ ได้สร้างแบบจำลองภูมิประเทศหลังน้ำท่วม (Post-Flood DEM) ใช้โดรนถ่ายภาพทางอากาศอย่างละเอียดเพื่อสร้างแบบจำลองน้ำท่วมอีกครั้งในอนาคต โดยจำลองความสูงของระดับน้ำ ทิศทางกระจายของน้ำแบบ 3 มิติ เพื่อปรับปรุงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างถาวร และช่วยในการวางแผนรับมือเหตุการณ์ในอนาคต โดยพิจารณาจาก "สภาพภูมิประเทศใหม่" หลังภัยพิบัติ
สำหรับเหตุน้ำท่วมหลายจุดในภาคใต้ของประเทศไทย ล่าสุด สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ออกประกาศอนุญาตให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถปฏิบัติการบินโดรนในพื้นที่ประสบอุทกภัยได้ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยเฉพาะการบินหลังเวลา 18.00 น. ซึ่งเป็นกรณี "อนุญาตเป็นพิเศษ" สำหรับภารกิจบรรเทาสาธารณภัยเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
โดยมีเงื่อนไขได้แก่ หน่วยงานหรือผู้บินโดรนจะต้องติดตั้งไฟระบุตำแหน่งให้มองเห็นชัดเจน และจะต้องประสานกับหน่วยงานในพื้นที่ก่อนบินทุกครั้ง ที่สำคัญ จะต้องไม่ทำการบินที่อาจเป็นการรบกวนเส้นทางบินของอากาศยานของรัฐและอากาศยานฉุกเฉิน
ขณะที่สื่อมวลชนอย่าง Thai PBS รายงานว่า ช่างภาพฝ่ายผลิตของไทยพีบีเอส บินโดรนสำรวจสถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ พบผู้ประสบภัยรอคอยขอความช่วยเหลือ อยู่บนหลังคาบ้าน ขณะที่โดรนจับความร้อนพบผู้ประสบภัยตามบ้านเรือนจำนวนมาก และสามารถประสานกับเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ขับเรือสำรวจอยู่ในบริเวณดังกล่าว จนสามารถช่วยเหลือชาวบ้านออกมาได้สำเร็จ