2 ตุลาคม 2568 บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) นำเสนอผลการพูดคุยจากเวทีเสวนา ESG Symposium 2025 กับธีม ‘GREEN BREAKTHROUGH AMID THE PERFECT STORM’ เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน เวทีดังกล่าวเปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคม เอกชน และภาครัฐได้มาพูดคุยเรื่องการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ท่ามกลาง ความท้าทายด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อม
การเสวนาที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมจากทั้ง 3 ภาคส่วนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศรวม 300 คน มีหัวข้อสำคัญ 3 ประเด็นคือ การเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด, การยกระดับ SMEs สู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำครบวงจรและเป็นธรรม และ การเตรียมพร้อมรับมือโลกรวน ทั้งยังมีการรับมืออนาคตที่ไม่แน่นอนและการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันร่วมด้วย
คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวถึงการจัดงาน ESG Symposium 2025 ครั้งที่ 13 ว่า ความพยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มให้ไวที่สุด เพราะการสร้างรากฐานการเปลี่ยนแปลงอย่างการเปลี่ยนผ่านพลังงานต้องใช้เวลา และกล่าวถึงการสร้างแบบจำลองอนาคตกรุงเทพของ SCG ที่เผยให้เห็นถึงการทรุดตัวของพื้นที่กรุงเทพฯ ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูง และการอยู่บนแผ่นเปลือกโลกที่กำลังเลื่อนลง
“เราอยากเป็นแพลตฟอร์มที่คนได้มารวมกันมาแชร์กันและมาระดมพลังสมองกัน” คุณธรรมศักดิ์กล่าว
แม้ไทยจะมีแผนการร่วมมือกัน แต่ ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านพลังงานยังไม่เกิดขึ้นไวพอ
“ที่น่ากังวลคือ ประเทศไทยขาดเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าพลังงาน ที่ปี 2030 แต่มีเป้าหมายที่ปี 2037 แทน” ดร. อารีพรกล่าวถึงเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านพลังงานของไทยที่ยังไม่รวดเร็วพอช้ากว่าต่างประเทศถึง 7 ปี และตอนนี้การใช้พลังงานในไทย เป็นการใช้พลังงานสะอาดราว 15% เท่านั้น
“ไทยมีเป้าหมาย NET ZERO ช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเราตั้งไว้ที่ปี 2065 แต่ประเทศเพื่อนบ้านตั้งไว้ที่ปี 2055 แต่ข่าวดีคือ รัฐบาลชุดนี้กล่าวว่าจะเร่ง [เป้าหมาย NET ZERO] ให้อยู่ในปี 2055 แทน” ดร. อารีพรกล่าว เสริมว่าไทยต้องใช้พลังงานสะอาดให้ได้ 40% ภายใน 5 ปีข้างหน้า (2573) เพื่อที่จะรักษาความสามารถในการแข่งขันรักษามูลค่าทางเศรษฐกิจ
เธอกล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านพลังงานจะทำได้เร็วขึ้นต้องใช้ความร่วมมือจากภาครัฐ และแนวทางที่ TDRI นำเสนอประกอบด้วยขั้นตอน 3 ระยะ
ดร. อารีพรกล่าวว่า การเร่งสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพลังงานจะสร้างประโยชน์ให้หลายภาคส่วน ลดต้นทุนการผลิตภาคอุตสาหกรรม ลดค่าใช้จ่าย ค่าปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน และลดความเสี่ยงเสียโอกาสในการดึงดูดภาคลงทุนทั้งของใหม่และของเดิม นอกจากนี้อีกภาคส่วนที่ลืมไม่ได้คือธุรกิจขนาดย่อยและขนาดเล็ก
ดร.ณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์ SME ไทย กล่าวว่า ธุรกิจขนาดย่อยระดับไมโครที่มีการจ้างงานน้อยกว่า 5 คนมีจำนวนมากกว่า 2.7 ล้านธุรกิจในไทย และมีการจ้างงานราว 5.5 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ในการพัฒนาธุรกิจกลุ่ม MSMEs ธุรกิจรายย่อย และธุรกิจรายเล็กส่วนใหญ่มักจะไม่ได้รับการพัฒนาด้วย
“[ธุรกิจขนาดย่อยและขนาดเล็ก] มีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงแหล่งทุน ขาดทักษะอนาคต โอกาสในการเข้าถึงช่องทางการตลาดใหม่น้อย กฎระเบียบที่ไม่เอื้อต่อการแข่งขันของ MSMEs” ดร. ณพพงศ์กล่าว อธิบายว่า ในการพัฒนาธุรกิจขนาดกลางที่มีทรัพยากรและความพร้อมมากกว่า คือผู้ที่เข้าถึงได้
การพูดคุยใน ESG Symposium จึงพยายามหาทางออกให้ MSMEs ได้เข้าถึงโอกาสในการพัฒนาเพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานด้วย ซึ่งแบ่งเป็น 3 ระยะเช่นกันคือ
คุณธรรมศักดิ์กล่าวถึงบทบาทของ SCG ในการสนับสนุน MSMEs คือการแบ่งปันฐานข้อมูล ซึ่ง SCG ในฐานะผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีเงินทุน พัฒนามาก่อนให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ประกอบการทุกระดับ และเน้นย้ำว่า การสร้างความเปลี่ยนแปลงต้องอาศัยแรงของทุกคน
“บริษัทเอสซีจีทำคนเดียวก็เป็นไปไม่ได้ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน [...] เราอยากเป็นแพลตฟอร์มที่คนได้มาร่วมกันมาแชร์กันและมาระดมพลังสมองกัน”