Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ระเบียบโลกเปลี่ยนเร็ว ไทยต้องปรับอย่างไร ให้ไม่แค่รอดแต่ยังรุ่ง
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ระเบียบโลกเปลี่ยนเร็ว ไทยต้องปรับอย่างไร ให้ไม่แค่รอดแต่ยังรุ่ง

28 ก.ย. 68
10:59 น.
แชร์

เพียงไม่กี่ทศวรรษ โลกได้เปลี่ยนจากระเบียบที่มหาอำนาจหนึ่งเดียวกำหนด ไปสู่โลกที่ซับซ้อนและไร้ศูนย์กลางเดียว แต่ละประเทศต่างพยายามสร้างกติกาของตนเอง และรวมกลุ่มเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง ขณะเดียวกันสถาบันระหว่างประเทศที่เคยเป็นหลักประกันความมั่นคง เช่น UN หรือ WTO ถูกตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพและศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่เราเคยคิดว่าคงที่ กลับกลายเป็นความไม่แน่นอน ความเสี่ยงก็ไม่ได้จำกัดอยู่ในสมรภูมิไกลตัวอีกต่อไป แต่แผ่ซ่านเข้ามาถึงชีวิตประจำวัน ผ่านมาตรการภาษี สงครามการค้า ราคาพลังงาน และภัยคุกคามทางไซเบอร์

ประเทศไทยเองก็ไม่ได้อยู่นอกกระแสนี้ การเป็นศูนย์กลางอาเซียนทำให้ไทยรับแรงดึงดูดและแรงกดดันจากมหาอำนาจทั้งตะวันตกและตะวันออก ทุกครั้งที่โลกสะดุด ไม่ว่าจะเป็นสงครามยูเครน-รัสเซีย ความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ หรือมาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆ ภายในประเทศจีน เศรษฐกิจไทยก็สะเทือนทันที เพราะไทยพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวสูงมาก คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่าไทยจะรอดหรือไม่ แต่คือไทยจะปรับตัวอย่างไรเพื่อไม่เพียงอยู่รอด แต่ยังสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน

บนเวทีเสวนา International Policy and Adaptation for New World Order ในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) เมื่อวันที่ 27 กันยายน ร้อยเอก ดร. จารุพล เรืองสุวรรณ รองผู้อำนวยการวิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า และ น.อ. พงศกร พวงสุวรรณ หัวหน้านโยบายระหว่างประเทศพหุภาคีและความร่วมมืออาเซียน ได้ร่วมกันอธิบายว่าระเบียบโลกใหม่กำลังเปลี่ยนไปในทิศทางใด และประเทศไทยควรปรับตัวอย่างไรให้ทัน ทั้งสองชี้ตรงกันว่า หากเราเข้าใจประวัติศาสตร์และโครงสร้างระหว่างประเทศ เราจะสามารถ “ไม่ช็อก” เมื่อเผชิญเหตุการณ์ใหม่ และยังสามารถพลิกความท้าทายเป็นโอกาสได้

ทำไมเราต้องสนใจการเมืองระหว่างประเทศ? 

ปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าการศึกษาการเมืองระหว่างประเทศและความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนรับมือและการปรับตัวให้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว น.อ. พงศกร ถ่ายทอดความสำคัญนี้ผ่านวลีที่เขาได้ยินสมัยศึกษาอยู่ที่เกาหลีว่า “อดีตมีไว้ศึกษา เพื่อปรับตัวและสร้างอนาคตอย่างที่เราต้องการ” โดยชี้ให้เห็นว่าการทำความเข้าใจกลไกของรัฐตั้งแต่อดีตคือรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้เรารับมือกับระเบียบโลกใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยกกรณีปาเลสไตน์ซึ่งกำลังถูกถกเถียงใน UN เพราะหากได้รับการยอมรับเป็นรัฐ จะทำให้อิสราเอลเผชิญความซับซ้อนทางการทูต และส่งผลกระทบเป็นทอดๆ ไปสู่ระดับภูมิภาคและระดับโลก รวมถึงประเทศไทยทั้งในแง่การเมืองและเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

น.อ. พงศกร อธิบายว่า ในปัจจุบันระเบียบระหว่างประเทศร่วมสมัยดำเนินไปบนสภาพ “อนาธิปไตย” (anarchy) ที่รัฐทุกหน่วยเป็นอิสระเท่าเทียมในหลักกติกา เรามองเห็นเงื่อนนี้อย่างเป็นรูปธรรมในองค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ประเทศเล็กหรือใหญ่ต่างมีหนึ่งเสียงเท่ากัน เสียงนั้นจึงถูกใช้ทั้งเพื่อเสาะหาผลประโยชน์และเพื่อค้ำประกันความมั่นคงของตนผ่านสองรางคู่ขนาน ซึ่งก็คือรางการแข่งขันเชิงอำนาจที่เข้มข้น และรางความร่วมมือแบบสถาบันเพื่ออยู่รอดร่วมกัน ดังนั้น การกระทำของแต่ละรัฐก็จะส่งผลกระทบต่อรัฐอื่นที่ต้องการรักษาผลประโยชน์ส่วนตนไว้เช่นเดียวกัน

น.อ. พงศกร ยังเปรียบเทียบ “ภูมิรัฐศาสตร์” (geopolitics) กับชีวิตประจำวัน โดยอธิบายว่าเหมือนการอยู่ใน “หมู่บ้าน” ที่ต้องรักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน เช่นเดียวกับกรณีรัสเซียที่ไม่ยอมให้ยูเครนเข้าร่วม NATO เพราะไม่ต้องการมีฐานยิงจรวดนิวเคลียร์ตั้งอยู่ข้างบ้าน อาเซียนเองก็เปรียบได้กับหมู่บ้านที่ไทยต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและรักษาเอกภาพ โดยใช้นโยบาย ASEAN Centrality เป็นเครื่องมือคานอำนาจมหาอำนาจ 

ดังนั้น ต่อให้เราเป็นเพียงคนทำงานธรรมดา โลกก็ยังไหลเข้ามาหาเราอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์ที่ไม่อยู่ในสมมติฐาน ตั้งแต่สงคราม ไปจนถึงมาตรการภาษีที่ประกาศฉับพลัน ทำให้กิจการสะดุดและชีวิตส่วนตัวพลอยสั่นไหว การเรียนรู้อดีตจึงไม่ได้มีไว้เพื่อทำนาย หากเพื่อ “ลดอาการช็อก” เมื่อระเบิดลูกใหม่ตกลงมา เราจะเข้าใจทันทีว่าต้องขยับไปทางไหน 

โลกหลายขั้ว เชื่อมโยงแน่นขึ้น แต่แตกเป็นก้อนมากขึ้น

ด้านร้อยเอก ดร. จารุพล อธิบายว่า ระเบียบโลกหรือ world order คือวิถีการอยู่ร่วมกันที่ผู้มีอำนาจหรือประเทศมหาอำนาจในแต่ละยุคออกแบบ กำหนดทั้งการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ และสถาปัตยกรรมของระบบการเงิน ช่วงหนึ่งอังกฤษเป็นผู้ออกแบบใหญ่ ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐฯ รับไม้ต่อ พร้อมก่อรูปสถาบันระหว่างประเทศ เช่น UN IMF และ WTO ให้เป็นโครงค้ำยันที่ทั้งรับใช้ผลประโยชน์ของผู้ก่อรูป และทำหน้าที่เป็นกติกากลางให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม

ทว่าในปัจจุบัน บทบาทและอำนาจการจัดระเบียบของสหรัฐฯ กำลังถูกตั้งคำถามอย่างหนัก เศรษฐกิจที่ถดถอยในประเทศประกอบกับการตัดสินใจของผู้นำอย่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์สั่นคลอน การลดบทบาทโครงการช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา การหันหลังให้ประเด็น Climate change และ SDGs ของ UN ที่เคยเป็นเสาหลักของซอฟต์พาวเวอร์สหรัฐฯ กลับกลายเป็นการบั่นทอนความเป็นผู้นำเชิงบรรทัดฐานที่ตนเองสร้างมา

ช่องว่างนี้เปิดโอกาสให้จีนก้าวเข้ามาแทนที่ จีนเสนอนโยบายช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมหึมาภายใต้ Belt and Road Initiative และการเผยแพร่อิทธิพลทางการศึกษาและวัฒนธรรมจนสร้างเครือข่ายพันธมิตรขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ ผลลัพธ์สะท้อนใน Shanghai Cooperation Organization (SCO) ที่แม้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2001 แต่กลับได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีนี้ การประชุม SCO ล่าสุดมีทั้งชาติสมาชิก ผู้สังเกตการณ์ และผู้เข้าร่วมประชุมจำนวนมาก หลายประเทศกล้าที่จะประกาศจุดยืนว่า “อยู่กับเวทีนี้” ทำให้ SCO กลายเป็นสัญญาณของการจัดกลุ่มใหม่ที่มีจีนเป็นศูนย์กลาง

แนวโน้มการจัดกลุ่มแบบ “ขั้วคู่ขนาน” ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อสังเกตการเคลื่อนไหวของ BRICS ที่เริ่มพูดคุยเรื่องลดการผูกพันกับดอลลาร์ และหันไปใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าระหว่างกัน ความพยายามนี้ท้าทายระบบการเงินโลกที่สหรัฐฯ เคยครองความได้เปรียบยาวนานหลังสงครามโลก หากสำเร็จ ผลกระทบจะสั่นสะเทือนระบบการค้าระหว่างประเทศอย่างลึกซึ้ง ประเทศอย่างไทยที่พึ่งพาการส่งออกย่อมต้องเร่งเตรียมตัว ทั้งด้านระบบชำระเงิน กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ การป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และการวางยุทธศาสตร์รองรับรูปแบบการเงินที่กระจายศูนย์มากขึ้น

ขณะเดียวกัน ความศรัทธาต่อสถาบันพหุภาคีเสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัด องค์การสหประชาชาติที่เคยมีน้ำหนักในการยับยั้งความขัดแย้งกลับถูกมองว่าไร้พลัง ทำให้หลายประเทศเอนเอียงไปสู่การทูตแบบทวิภาคี การเจรจาโดยตรงระหว่างผู้นำเพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้า ตัวอย่างชัดคือความตึงเครียดไทย-กัมพูชา ที่สะท้อนการใช้กำลังทหารโดยไม่เกรงใจกรอบกติกา UN ในอดีต การเปลี่ยนผ่านเช่นนี้ทำให้ความขัดแย้งในระดับภูมิภาคและข้ามทวีปมีแนวโน้มปะทุได้ง่ายขึ้น

ในด้านความมั่นคง ร้อยเอก ดร. จารุพล ยังอธิบายว่าสนามการเผชิญหน้าใหม่ ๆ ก็กำลังขยายตัว เดิมทีสงครามเกิดขึ้นบนบก ในน้ำ และในอากาศ แต่ปัจจุบันเพิ่มทั้งไซเบอร์และอวกาศ สหรัฐฯ ถึงขั้นก่อตั้งกองทัพอวกาศและเสริมกองทัพไซเบอร์เพื่อยึดความได้เปรียบ จีน รัสเซีย และมหาอำนาจอื่นต่างเร่งลงทุนในมิติเดียวกัน ทว่าพื้นที่เหล่านี้ยังไร้กติกาสากล การแข่งขันจึงเข้มข้นและสุ่มเสี่ยงต่อความขัดแย้งที่ควบคุมไม่ได้

นอกจากนี้ ร้อยเอก ดร. จารุพล ยังชี้ว่าปัจจุบันทั้งการเมืองและเศรษฐกิจก็ถูกนำมาใช้เป็น “สนามรบ” เช่นเดียวกัน ตัวอย่างที่เห็นได้คือกรณีสมเด็จฮุนเซนเผยแพร่คลิปเสียงการสนทนากับอดีตนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งถูกมองว่าเป็นความพยายามสั่นคลอนเสถียรภาพทางการเมืองของไทยจากภายใน ขณะเดียวกันในมิติทางเศรษฐกิจ เครื่องมืออย่างมาตรการภาษี การกีดกันทางการค้า รวมถึงการควบคุมห่วงโซ่อุปทาน ได้กลายเป็นอาวุธทรงพลังในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

กรณีชัดเจนคือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่ก่อผลสะเทือนไปทั่วโลก ประเทศผู้ส่งออกอย่างไทยถูกบีบให้ต้องหาทางเจรจาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน ท่ามกลางแรงกดดันเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ไทยต้องแสดงความยืดหยุ่นสูงกว่าเดิม เพื่อรับมือกับโลกที่อำนาจทางเศรษฐกิจถูกใช้เป็นคันบังคับเชิงยุทธศาสตร์อย่างเต็มรูปแบบ

ดังนั้น ระเบียบโลกไม่ได้เพียงเปลี่ยน “ผู้คุมกติกา” แต่กำลังเปลี่ยน “ภูมิทัศน์ของผู้เล่น” ที่กระจายออกเป็นก้อนย่อยและพันธมิตรเฉพาะกลุ่มมากขึ้น แนวโน้มนี้จะเร่งความต้องการฉันทามติใหม่ในสนามเศรษฐกิจ ไซเบอร์ และอวกาศ ที่ยังปราศจากกติกากลาง ประเทศและภาคธุรกิจที่เรียนรู้อดีต เข้าใจปัจจุบัน และเตรียมพร้อมเชิงรุกในหลายมิติ จะไม่เพียงแค่ “ไม่ตกใจ” เมื่อเจอแรงสั่นสะเทือน แต่ยังสามารถหาทางเดินหน้าท่ามกลางโลกที่ “เชื่อมโยงแน่น” แต่ “แตกเป็นก้อน” มากขึ้นทุกขณะ 

จะรุ่งในยุคระเบียบโลกใหม่ ไทยต้องเปลี่ยนจาก “ไผ่ลู่ลม” กลับไปโตจาก “รากเหง้า”

เพื่อเอาตัวรอดในสภาวการณ์ดังกล่าว น.อ. พงศกร มองว่าประเทศไทยจะอยู่รอดในระเบียบโลกใหม่ได้ เราต้องรู้จักตัวเองและวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนให้ลึกซึ้ง เขาเน้นว่าความพอเพียงและพอประมาณตามพระราชดำริรัชกาลที่ 9 คือหลักที่ช่วยให้ไทยก้าวข้ามความเปลี่ยนแปลงได้จริง เพราะหากทำสิ่งที่ใหญ่เกินความจำเป็นหรือตัดสินใจบนความเสี่ยงสูงเกินไป ก็อาจทำให้เสียความมั่นคง เขายกตัวอย่างว่าไทยเคยรอดพ้นจากสงครามโลกด้วยการใช้นโยบาย “ไผ่ลู่ลม” ซึ่งต่างชาติยอมรับ แต่เตือนว่าหากวันนี้ไทยขาดการวิเคราะห์และใช้นโยบายต่างประเทศอย่างรอบคอบ “ไผ่ลู่ลม” อาจกลายเป็นการถูกชักไปชักมาจนสูญเสียจุดยืน และไม่สามารถใช้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงมาเป็นประโยชน์ได้

ด้านร้อยเอก ดร. จารุพล เรืองสุวรรณ ขยายความว่า โลกกำลังเข้าสู่ยุคหลายขั้ว แต่ละกลุ่มอำนาจแข่งขันและแยกตัวเป็นก้อน ประเทศเล็กส่วนใหญ่จึงต้องวิ่งเข้าหากลุ่มใหญ่ หรือรวมตัวกันเองแม้จะยากยิ่ง สิ่งที่ตามมาคือภาพที่ซับซ้อน โลกหนึ่งใบที่เชื่อมโยงแน่นหนาเพราะเทคโนโลยีบังคับ แต่ก็แตกแยกเป็นก้อนๆ ในเวลาเดียวกัน เขาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “fragmented connection” คือแตกแต่ยังเชื่อม บางประเทศอาจเลือกข้างกลุ่มหนึ่ง แต่ก็ยังคงมีประตูหลังเชื่อมกับอีกกลุ่มอยู่ ทำให้โลกยุคใหม่เต็มไปด้วยการเชื่อมโยงที่ซ้อนทับกับความแตกแยก อีกทั้งสถาบันระหว่างประเทศมีแนวโน้มถูกลดทอนบทบาทลงเช่นที่โดนัลด์ ทรัมป์แสดงออกไปไม่นานนี้

ดังนั้น ร้อยเอก ดร. จารุพล จึงมองว่าปัจจุบันไทยไม่ควรพึ่งแต่นโยบาย “ไผ่ลู่ลม” แบบเดิม เพราะแรงลมวันนี้รุนแรงจนเสี่ยงหักได้ง่าย สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างรากฐานให้มั่นคง และเชื่อมโยงนโยบายภายในกับนโยบายต่างประเทศให้เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะที่ผ่านมาไทยยังมองทั้งสองแยกจากกัน ทั้งที่ปัญหาความเหลื่อมล้ำอาจแก้ด้วยนโยบายการค้า ขณะที่ความมั่นคงระหว่างประเทศก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของเศรษฐกิจภายใน หากยังฝากความหวังไว้กับการส่งออกและท่องเที่ยวทุกครั้งที่เกิดช็อก ไม่ว่าจากภัยธรรมชาติ ความขัดแย้งในต่างแดน หรือมาตรการจากประเทศคู่ค้า เศรษฐกิจไทยก็สะดุดทันที

ร้อยเอก ดร. จารุพล เสนอว่าไทยต้องหันกลับมาพึ่งพาตัวเองให้ได้ โดยเฉพาะด้านความมั่นคงทางอาหาร (food security) ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ไม่มีใครพรากไปได้ ไทยคือ “ลูกรักของมรสุม” ที่มีดิน น้ำ แดด และความชื้นอุดมสมบูรณ์ เพาะปลูกได้ถึง 80% ของพันธุ์พืชโลก แต่กลับถูกมองข้ามในการสร้าง Soft Power หากต่อยอดเกษตรสมัยใหม่ ไทยสามารถใช้จุดแข็งนี้เป็นพลังเชิงการทูตได้จริง เช่น การส่งชาวนาที่มีความรู้และทักษะไปช่วยเหลือประเทศที่ขาดความมั่นคงทางอาหาร ไม่เพียงสร้างไมตรี แต่ยังสร้างการยอมรับและผลประโยชน์ในระยะยาว

น.อ. พงศกร เสริมแนวคิดนี้ว่าทำเลของไทยคือทรัพย์สินล้ำค่า ไทยอยู่ศูนย์กลางอาเซียน ใกล้ช่องแคบมะละกา เส้นทางคมนาคมหนาแน่นที่สุดของโลก เชื่อมทั้งอ่าวไทยกับทะเลอันดามัน หากลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งท่าเรือ รถไฟ และดิจิทัล ไทยมีศักยภาพเป็นศูนย์กลางของอินโด-แปซิฟิกได้จริง เขาย้ำว่าด้วยทำเลและทรัพยากรธรรมชาติ ไทยจะไม่ใช่ประเทศแรกๆ ที่ล้มเหลวหากโลกเผชิญวิกฤต แต่การจะไปไกลกว่าคำว่า “รอด” ต้องทำให้จุดแข็งเหล่านี้กลายเป็นข้อได้เปรียบเชิงแข่งขันที่ยั่งยืน

ร้อยเอก ดร. จารุพล ทิ้งท้ายว่าคำตอบและทางรอดของไทยอยู่ที่การ “กลับไปหารากเหง้า” ของตัวเอง เกษตรกรรมคือรากฐานที่ทำให้มนุษย์ตั้งถิ่นฐาน และไทยคือหนึ่งในไม่กี่พื้นที่ที่ครบทั้งน้ำ แดด และฝน เพียงแต่คนไทยจำนวนมากละทิ้งรากเหง้าเพื่อเข้ามาหางานในเมือง ทั้งที่ยังมีพื้นฐานเกษตรกรรมอยู่แล้ว หากรัฐสนับสนุนให้คนไทยกลับไปตั้งรกรากได้จริง ไม่เพียงทำให้ชีวิตมั่นคงจากล่างขึ้นบน แต่ยังสร้างภูมิคุ้มกันทั้งต่อโรคระบาดและต่อแรงกระแทกของทุนนิยม การกลับบ้านไม่ใช่การถอยหลัง แต่คือการสร้างความมั่นคงจากฐานราก ทำให้กรุงเทพฯ ไม่ใช่ที่ฝากชีวิต แต่เป็นเพียงจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว

ดังนั้น ในระเบียบโลกปัจจุบัน การเป็น “ไผ่ยืดหยุ่น” ที่เติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรงบนรากเหง้าและจุดแข็งของตัวเองคือคำตอบ ไทยต้องยืนบนรากฐานของตัวเองอย่างมั่นคง แต่พร้อมปรับ โอนอ่อน และต่อรองกับโลกด้วยมาตรฐานและความสามารถ ไม่เพียงเพื่อเอาตัวรอด แต่เพื่อให้รุ่งเรืองอย่างยั่งยืนในศตวรรษที่เต็มไปด้วยความผันผวนต่อไป


แชร์
ระเบียบโลกเปลี่ยนเร็ว ไทยต้องปรับอย่างไร ให้ไม่แค่รอดแต่ยังรุ่ง