Sustainability Expo 2025 (SX2025) มหกรรมความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ภายใต้แนวคิดหลัก “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” (Sufficiency for Sustainability) และธีม Adaptation & Collaboration ที่สะท้อนถึงความจำเป็นของการ “ปรับตัว” และ “ร่วมมือ” เพื่อเผชิญวิกฤตโลกรวน งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กันยายน-5 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
งานครั้งนี้รวบรวมกิจกรรมและการจัดแสดงที่ครอบคลุมทุกมิติของการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม พลังงาน อาหาร สุขภาพ นวัตกรรม และวัฒนธรรม พร้อมพื้นที่จัดแสดงที่ขยายเต็มศักยภาพ เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสนวัตกรรมล้ำสมัย ตั้งแต่เทคโนโลยีสีเขียว การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อความยั่งยืน อาหารแห่งอนาคต ไปจนถึงการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน
SX2025 ยังยกระดับสู่เวทีโลก ด้วยการเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือจากนานาชาติ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม เพื่อสร้างต้นแบบการจัดงานที่ทั้งภูมิภาคอาเซียนและทั่วโลกจับตา ไฮไลต์กิจกรรมสำคัญ ได้แก่ เวิร์กช็อปและนิทรรศการเชิงปฏิบัติจริง กิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจสำหรับเยาวชน และการบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนกว่า 750 คนจากทั่วโลก ที่จะมาแบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์ในการแก้ปัญหาโลกรวน
หนึ่งในไฮไลต์พิเศษของปีนี้ คือการที่ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน Enactus World Cup 2025 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยความร่วมมือของ Enactus Global, มูลนิธิรากแก้ว และ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของ Enactus งานนี้เป็นเวทีระดับโลกที่รวบรวมเยาวชนรุ่นใหม่จากกว่า 32 ประเทศ มานำเสนอผลงานนวัตกรรมธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิดจากแนวคิดสู่การลงมือปฏิบัติ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ การแข่งขันจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน ภายในงาน SX2025
พิธีเปิดงาน SX2025 ได้รับเกียรติจาก คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานอำนวยการจัดงาน SX2025 และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการ
คุณฐาปนกล่าวว่า Sustainability Expo SX2025 มหกรรมความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ภายใต้แนวคิดหลัก “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” (Sufficiency For Sustainability) โดยน้อมนำพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ์ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จะทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด พร้อมทั้งหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) มาเป็นแนวทางสำคัญในการจัดงาน
งาน Sustainability Expo จัดครั้งแรกในปี 2563 เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนทั่วไป ได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนความยั่งยืน ครอบคลุมทุกมิติทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม พลังงาน อาหาร สุขภาพ และวัฒนธรรม โดยในปี 2567 มีผู้เข้าร่วมชมงานมากกว่า 770,000 คน และในปีนี้ยังคงยกระดับด้วยการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนระดับโลกกว่า 750 คน มาร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ พร้อมเครือข่ายภาครัฐและเอกชนจากทั้งไทยและต่างประเทศกว่า 270 องค์กรมาร่วมจัดแสดงนิทรรศการ เวิร์กช็อป และเสวนา เพื่อแบ่งปันเทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัยที่สามารถนำไปต่อยอดได้จริงในชีวิตประจำวัน
อีกหนึ่งความพิเศษคือการที่ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน Enactus World Cup 2025 ซึ่งปีนี้ถือเป็นวาระสำคัญฉลองครบรอบ 50 ปีของ Enactus การแข่งขันครั้งนี้จัดโดย Enactus Global ร่วมกับมูลนิธิรากแก้ว และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เพื่อผลักดันนวัตกรรมและการพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ผ่านพลังความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ที่พร้อมลงมือปฏิบัติจริง โดยมีทีมเยาวชนกว่า 32 ประเทศจากทั่วโลกเดินทางมานำเสนอผลงานต้นแบบที่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในมิติของการพัฒนาที่ยั่งยืน การแข่งขันจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน ภายในงาน SX2025 ซึ่งจะเป็นเวทีสำคัญในการสร้างเครือข่ายเยาวชนระดับนานาชาติและต่อยอดแนวคิด “จากไอเดียสู่การลงมือทำ” ให้เกิดผลจริง
สุดท้าย คุณฐาปนได้กล่าวขอบคุณผู้ร่วมก่อตั้ง Sustainability Expo ได้แก่ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ปตท. เอสซีจี ไทยเบฟเวอเรจ และไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป รวมถึงเครือข่าย Thailand Supply Chain Network (TSCN) และผู้สนับสนุนจากทุกภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรภาครัฐ บริษัทเอกชน มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และเครือข่ายภาคประชาสังคม ที่ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนและพร้อมผสานพลังกันอย่างจริงจัง การรวมตัวของทุกภาคส่วนในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสในการเรียนรู้ การสร้างแรงบันดาลใจ และการผลักดันให้เกิดการลงมือทำที่ขยายผลสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวก เพื่อร่วมกันรักษาสมดุลและความยั่งยืนของโลกให้กับคนรุ่นต่อไปอย่างแท้จริง
หม่อมหลวงจิรพันธุ์ ทวีวงศ์ กรรมการและรองเลขาธิการ มูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวในพิธีเปิดว่าตนได้รับมอบหมายจาก ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ให้มากล่าวแทนในพิธีเปิดงาน Sustainability Expo ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 6 ภายใต้แนวคิด “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” โดย ดร.สุเมธ ฝากชื่นชมทีมผู้จัดงานที่ยังคงยึดมั่นเจตนารมณ์การสืบสานแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถือเป็นการสร้างพื้นที่เรียนรู้และแรงบันดาลใจที่สำคัญให้กับสังคมไทยและนานาชาติในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
หม่อมหลวงจิรพันธุ์กล่าวว่า การพัฒนาที่ยั่งยืนได้กลายเป็นกติกาสากลที่ทุกประเทศต้องดำเนินการร่วมกัน ภายใต้กรอบ Sustainable Development Goals (SDGs) ที่ตั้งเป้าหมายไว้ภายในปี 2573 หรืออีกเพียง 5 ปีข้างหน้า ที่ผ่านมา ประเทศไทยสามารถสร้างความก้าวหน้าในหลายด้าน อาทิ ด้านสุขภาพ ที่ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้ดีขึ้นหลังวิกฤตโควิด-19 ด้านพลังงาน ที่มีการขยายการเข้าถึงพลังงานสะอาดและพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ หลายประเทศรวมถึงไทยได้ประกาศเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และ Net Zero ภายในปี 2593 ขณะเดียวกัน ในด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ประเทศได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นระบบคมนาคมขนส่ง สาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไปสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง
ในมิติของ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” หม่อมหลวงจิรพันธุ์กล่าวว่า ปรัชญานี้คือแนวทางการดำรงชีวิตที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย แม้จะถูกวางรากฐานมากว่า 50 ปี แต่ยังคงเป็นแนวคิดร่วมสมัยที่สามารถนำมาปรับใช้กับบริบทโลกปัจจุบันได้อย่างกว้างขวาง ทั้งยังสอดคล้องกับหลักการของ SDGs ที่มุ่งเน้นให้โลกก้าวไปสู่สมดุลและความมั่นคงในระยะยาว การขับเคลื่อนเชิงปรัชญานี้ได้ถูกผลักดันเพิ่มขึ้นในเวทีโลก โดยเน้นการสร้างภูมิคุ้มกันต่อความเปลี่ยนแปลง การจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างดุลยภาพในทุกมิติ
หม่อมหลวงจิรพันธุ์กล่าวว่า ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมีความสอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติ เริ่มจาก หลักภูมิคุ้มกัน ที่เน้นการเตรียมพร้อมและการจัดการความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างชัดเจนคือ “เกษตรทฤษฎีใหม่” ที่พระราชทานแก่เกษตรกร โดยแนะนำให้แบ่งพื้นที่เพาะปลูก เช่น 15 ไร่ ควรจัดสรร 30% สำหรับขุดสระเก็บน้ำ เพื่อใช้ยามฝนทิ้งช่วง หรือโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่เป็นภูมิคุ้มกันสำคัญของกรุงเทพฯ ในการป้องกันน้ำท่วม ผ่านการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ
ต่อมาคือ หลักความพอประมาณ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช้เกินความจำเป็น และพึ่งพาตนเองก่อนที่จะไปพึ่งปัจจัยภายนอก เมื่อทรัพยากรเริ่มร่อยหรอ การจัดสรรและใช้ประโยชน์จากส่วนที่เหลือจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่ความยั่งยืน
อีกหลักคือ ความมีเหตุผล ที่มุ่งเน้นการพิจารณาทางเลือกอย่างรอบด้าน เห็นทั้งเหตุและผล รวมถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การพัฒนาจึงควรเริ่มจากชุมชนท้องถิ่น โดยไม่ละเลยมิติทางวัฒนธรรมที่ช่วยเชื่อมโยงการพัฒนาให้มั่นคงยั่งยืน ทั้งนี้ยังสอดคล้องกับแนวคิด “ภูมิสังคม” ของรัชกาลที่ 9 ที่ชี้ว่าการพัฒนาจะต้องพิจารณาสภาพภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมของพื้นที่นั้นๆ
และสุดท้ายคือ ความรู้คู่คุณธรรม ซึ่งเป็นหลักสำคัญของการพัฒนาในระยะยาว เพื่อบรรลุเป้าหมายโดยไม่สร้างผลกระทบด้านลบ ไม่คดโกงหรือทุจริต และตั้งอยู่บนคุณธรรมจริยธรรม
ในส่วนการดำเนินงานของมูลนิธิชัยพัฒนา ก็ได้สะท้อนหลักคิดเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ ที่ตั้งอยู่ในเชียงราย สระบุรี และสุรินทร์ มีบทบาทสำคัญในการผลิตเมล็ดพันธุ์พืชสำรองไว้เพื่อรองรับวิกฤตความมั่นคงทางอาหาร ยามที่ประเทศขาดแคลน ประชาชนยังสามารถนำไปปลูกเพื่อกินเอง ขาย หรือแบ่งปันในชุมชน สิ่งนี้คือเหตุผลที่ทำให้ประเทศไทยไม่ลำบากมากนักในช่วงวิกฤตโควิด-19 เพราะยังสามารถผลิตอาหารได้เพียงพอ
ท้ายที่สุด หม่อมหลวงจิรพันธุ์ กล่าวว่า ดร.สุเมธ ฝากข้อคิดว่า สถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้ควรเป็น “สัญญาณเตือนใจ” ให้เราหันมาใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เพราะเศรษฐกิจจะเติบโตได้อย่างมั่นคง ก็ต่อเมื่อประชาชนมีสุขภาพที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีเช่นกัน การจัดงานในปีนี้ก็หวังว่าจะสร้างทั้งความประทับใจ ความตระหนักรู้ และแรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าร่วมงาน เพื่อนำสิ่งที่ได้รับกลับไปใช้ได้จริง เหมือนดังที่รัชกาลที่ 9 เคยทรงทำให้เราเห็นเป็นตัวอย่าง นอกจากนี้ ท่านเลขาฯ ยังฝากคำอวยพรให้การจัดงานครั้งนี้สำเร็จบรรลุเป้าหมายทุกประการ
ในพิธีเปิดงาน SX2025 นอกจากคำกล่าวเปิดงานแล้ว ยังมีเวทีเสวนาพิเศษระหว่าง ดร. Hans-Paul Bürkner, Global Chair Emeritus จาก Boston Consulting Group และคุณ George M. Tsiatis, CEO ของ Resolution Project และ Enactus Global โดยมีคุณต้องใจ ธนะชานันท์ ผู้อำนวยการคณะจัดงาน SX2025 ทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ จุดมุ่งหมายของการเสวนาคือการถ่ายทอดวิสัยทัศน์ว่าด้วยการต่อยอดและเผยแพร่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ไปสู่เวทีโลก
คุณต้องใจเปิดการสนทนาโดยกล่าวว่า SX ได้จัดงานนี้ต่อเนื่องมาแล้ว 6 ปี และขยายตัวจนกลายเป็นงานที่มีมิติสากลมากขึ้น แต่โจทย์สำคัญคือการหาหนทางที่จะพูดกับโลกถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างมีประสิทธิภาพ จึงถือโอกาสนี้เชิญทั้งสองท่านมาแบ่งปันมุมมองทั้งจากภาคธุรกิจและภาคสังคม
ดร. Hans-Paul Bürkner กล่าวว่า ปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราช รัชกาลที่ 9 ทรงวางไว้ มีคุณค่าหลักคือ “ความสมดุล ความมั่นคง และความยั่งยืน” คุณค่าเหล่านี้แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่มีอยู่และได้รับการถกเถียงกันในสังคมหลายแห่งทั่วโลก ทั้งในภาครัฐ เอกชน และในหมู่ประชาชน แม้แต่ละแห่งจะเลือกใช้คำที่แตกต่างกัน หรือให้น้ำหนักไม่เหมือนกัน แต่แก่นแท้กลับเป็นสิ่งที่มนุษยชาติมีร่วมกัน
ดร. Bürkner อธิบายต่อว่า การพัฒนาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาไม่ได้ดำเนินไปในเส้นตรงเสมอ มีทั้งก้าวหน้าและถอยหลัง บางประเทศถึงขั้นถอนตัวจากคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ และยังเกิดความปั่นป่วนในหลายสังคม จนทำให้ดูเสมือนว่าคุณค่าเหล่านี้ไม่มั่นคงอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม หากมองในภาพกว้างกว่า 200 ปีที่ผ่านมา มนุษย์ได้บรรลุความก้าวหน้าอย่างมหาศาล ซึ่งไม่ควรถูกกลบด้วยเหตุการณ์ในระยะสั้น เช่นความยากลำบากตลอด 6, 12 หรือ 18 เดือนที่ผ่านมา เราไม่ควรสรุปจากช่วงเวลาสั้น ๆ ว่าโลกกำลังเสื่อมถอยหรือไร้ความหวัง เพราะแท้จริงแล้วนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแนวโน้มระยะยาวที่อาจมีทั้งการเคลื่อนด้านข้างหรือถอยหลังบ้างในบางช่วง แต่โดยรวมยังเดินหน้าไปข้างหน้า
สิ่งที่ดร. Bürkner เห็นว่าสำคัญอย่างยิ่งคือการเปิดโอกาสให้เด็ก เยาวชน และผู้คนทั่วโลกได้กำหนดชะตาชีวิตของตนเอง สร้างชีวิตที่ดีขึ้นทั้งเพื่อตัวเอง ครอบครัว และชุมชน ซึ่งต้องอาศัยโอกาสด้านการศึกษา การฝึกอบรม และการสร้างธุรกิจ เขากล่าวว่านี่คือเหตุผลที่การรวมตัวในเวทีเช่น SX มีคุณค่ามาก เพราะเป็นพื้นที่ให้ผู้คนร่วมกันผลักดันโอกาสเหล่านี้ขึ้นจริงบนพื้นฐานของปรัชญาที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงวางไว้ และคุณค่าหลักเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ทั่วโลกมีร่วมกัน
เมื่อหันมาพูดถึงโลกธุรกิจ ดร. Bürkner ย้ำว่าผู้คนมักพูดถึงการเติบโตเป็นหลัก แต่ SEP นำเสนอแนวคิดต่างออกไป โดยเน้น “ความพอประมาณ คุณธรรม ความรู้ และภูมิคุ้มกัน” ซึ่งสามารถแปลงเป็นการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน เขายกตัวอย่างว่าโลกทุกวันนี้มีการสูญเสียและรั่วไหลมหาศาล ตั้งแต่ไร่จนถึงตู้เย็น เราสูญเสียอาหาร 20-50% หากลดการสูญเสียเหล่านี้ได้จะถือเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะภาคอาหารหรือเกษตรกรรม แต่เกิดขึ้นแทบทุกอุตสาหกรรม และยังรวมถึงในชีวิตประจำวันของแต่ละคน หากเราสามารถจัดการทรัพยากรให้ดีกว่าเดิม โลกก็จะสามารถรองรับประชากร 10,000 ล้านคนได้ นี่จึงเป็นเรื่องเศรษฐกิจอย่างลึกซึ้ง คือการลดการใช้พลังงานและทรัพยากร ซึ่งในท้ายที่สุดจะทำให้บริษัทต่าง ๆ ทำงานได้ดีกว่าเดิม ทั้งเพื่อตัวเองและเพื่อโลก
ด้านคุณ George M. Tsiatis ได้สะท้อนมุมมองจากประสบการณ์ทำงานด้านสังคม โดยเฉพาะกับเยาวชนใน Enactus คุณ Tsiatis กล่าวว่าคำที่สะท้อนปรัชญา SEP ได้ชัดเจนที่สุดสำหรับเขาคือ “ภูมิคุ้มกัน” เพราะหมายถึงการสร้างความเข้มแข็งและความพร้อมรับมืออนาคต ซึ่งต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมและความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นในชุมชน รวมถึงการดึงผู้นำจากทุกภาคส่วน คือ ธุรกิจ รัฐ และประชาสังคม เข้ามาทำงานร่วมกัน คุณ Tsiatis อธิบายว่าปัญหาใหญ่ของโลกไม่มีคำตอบเดียว แต่เป็นเรื่องของการสร้างความเข้มแข็งเพื่อเตรียมพร้อมแม้สำหรับสิ่งที่เรายังไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้น
คุณ Tsiatis ยังชี้ให้เห็นว่า SEP จุดประกายให้เราต้องถามคำถามพื้นฐานว่า “อะไรคือความพอเพียงสำหรับตัวเรา ครอบครัว ชุมชน องค์กร ประเทศ และโลก?” คำถามนี้จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะมนุษย์มักไล่ตามสิ่งที่มากขึ้น ใหญ่ขึ้น และเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่เราควรถามว่า “เพื่ออะไร หรือจะทำไปถึงไหน” คุณ Tsiatis มองว่าภูมิปัญญาของ SEP คือการผลักดันให้เรากล้าถามว่า “อะไรคือความพอเพียง” และเราจะสามารถมองหน้าลูก ๆ ของเราแล้วบอกได้หรือไม่ว่า “เราได้ทำดีที่สุดแล้วเพื่อพวกเขา” หรือเมื่อเจอวิกฤติหรือภัยพิบัติ เราจะรู้ได้หรือไม่ว่า “เราได้ป้องกันเต็มที่แล้ว”
คุณต้องใจได้เชื่อมโยงคำกล่าวของคุณ Tsiatis กับพระราชดำรัสรัชกาลที่ 9 ที่ว่า “ความพอเพียงของฉันอาจไม่เหมือนกับความพอเพียงของคุณ” ซึ่งไม่ใช่การบังคับให้ทุกคนอยู่ในความยากจน แต่คือการมี “กรอบความคิดเรื่องความพอเพียง” ว่าอะไรคือ “พอ” สำหรับตนเอง และกล่าวเพิ่มเติมว่าปีหน้าจะครบรอบ 100 ปีชาตกาลของรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยจะทำให้โลกเข้าใจ SEP มากขึ้น
ดร. Bürkner จึงเสนอว่า การเผยแพร่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่สากลต้องอาศัยพันธมิตรในหลายประเทศ เช่น Enactus หรือองค์กรอื่น ๆ ที่พร้อมจะขับเคลื่อนเรื่องนี้ โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบเดียวกัน แต่ควรเปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายถ่ายทอดด้วยคำพูดและประสบการณ์ของตนเอง เพราะการสื่อสารที่เป็นธรรมชาติจะช่วยสร้างแรงส่งและเข้าถึงผู้คนได้กว้างกว่า
ดร. Bürkner เน้นว่าสิ่งที่ทำได้ด้วยตัวเองมีข้อจำกัด จึงจำเป็นต้องมีความริเริ่มจากทั่วโลก ผ่านกิจกรรมที่เปิดให้ผู้คนพูดคุย แลกเปลี่ยน และเชื่อมโยงกับผู้ที่มีแนวคิดร่วมกัน การหาพันธมิตรที่ต้องการผลักดันอย่างแท้จริงและปล่อยให้พวกเขาเล่าเรื่องในแบบของตนเอง จะช่วยขยายอิทธิพลและเพิ่มพลังให้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแพร่หลายไปทั่วโลก
คุณ Tsiatis เสริมว่า SEP ยังสามารถเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ได้อย่างมีพลัง คุณ Tsiatisกล่าวว่า แม้ SDGs จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นมาตรฐานในการวัดความก้าวหน้า แต่ก็ถูกวิจารณ์มาโดยตลอดว่า “ไม่เคยบอกว่าจะทำอย่างไร” SEP จึงสามารถทำหน้าที่เป็น “กรอบวิธีการ” ในการบรรลุเป้าหมาย โดยเสนอคำตอบว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นฐานและกลยุทธ์ควรทำอย่างไร
สำหรับแนวทางการดำเนินการด้านความยั่งยืนในอนาคต ดร. Bürkner กล่าวเสริมในตอนท้ายว่า แม้โลกจะเต็มไปด้วยข่าวร้าย ภัยพิบัติ น้ำท่วม ภัยแล้ง และความรู้สึกสิ้นหวัง แต่เราไม่ควรหมดหวัง เพราะชะตากรรมยังอยู่ในมือเรา ยังมีสิ่งอีกมากที่สามารถทำได้ ทั้งในฐานะบุคคล กลุ่ม องค์กรการกุศล บริษัท หรือรัฐบาล สิ่งสำคัญคือการเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าและลงมือทำจริง เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า
ด้านคุณ Tsiatis กล่าวปิดท้ายด้วยการยกตัวอย่างจากประวัติศาสตร์ว่า มนุษย์ทุกยุคต่างเคยเชื่อว่าโลกใกล้ถึงกาลอวสาน แต่ด้วยความคิดสร้างสรรค์และความร่วมมือ มนุษย์ก็หาทางเดินต่อไปได้เสมอ คุณ Tsiatis ฝากคำเชิญชวนให้ผู้เข้าร่วม SX ไปสัมผัสพลังงานและแรงบันดาลใจจากเยาวชนใน Enactus World Cup ที่ Thaibev ให้การสนับสนุน ซึ่งจัดควบคู่กัน เพื่อเห็นความมุ่งมั่นและพลังสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นผู้ถือคบเพลิงความยั่งยืนสู่อนาคตต่อไป
ภายหลังการเสวนา งาน SX2025 ได้มอบรางวัล SX Shaper Award 2025 ซึ่งเป็นรางวัลเกียรติยศที่จัดขึ้นเพื่อเชิดชูบุคคลและองค์กรที่ขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้เกิดการลงมือทำจริงในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง ปีนี้ผู้ได้รับเกียรติคือ Enactus Global องค์กรระดับนานาชาติที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างพลังบวกและผลักดันการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน โดยมีคุณ Tsiatis พร้อมคณะผู้แทนจาก Enactus Global ขึ้นรับรางวัล
เมื่อเสร็จสิ้นพิธีมอบรางวัล พิธีเปิด SX2025 ก็ปิดท้ายอย่างอบอุ่น ด้วยการที่แขกผู้มีเกียรติจากหลายภาคส่วนร่วมกันร้องเพลง Heal the World เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการร่วมมือรักษาโลกใบนี้ร่วมกัน
ทั้งนี้ แม้วันแรกของ SX2025 จะผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับอีกทั้ง 9 วัน ของงาน SX2025 ผู้เข้าร่วมงานยังจะได้ร่วมสนุก และตื่นตา ตื่นใจไปพร้อมกับการเรียนรู้ที่จะปรับตัวได้แบบง่าย ๆ เพื่อความอยู่รอดในยุคโลกรวนผ่านกิจกรรมอีกมายในแต่ละโซน ดังนี้
ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน-วันที่ 5 ตุลาคม 2568 เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) งานเดียวที่คุณจะได้อัพเดทเทรนด์ด้านความยั่งยืนทุกมิติ เพื่อก้าวตามให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พบกับคำตอบของการปรับตัวอย่างชาญฉลาดที่เริ่มต้น และลงมือทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวคุณ เพราะการปรับตัวไม่ใช่แค่การอยู่รอด แต่คือการสร้างทางรอดที่มีความสมดุลบนโลกใบนี้ได้ยั่งยืนอย่างแท้จริง
ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมของ SX ได้ทาง Facebook Page : Sustainability Expo, www.sustainabilityexpo.com และแอดไลน์ @sxofficial เพื่อร่วมสนุกไปกับกิจกรรมการสะสมแต้ม ลุ้นรับรางวัลมากมาย ตลอด 10 วัน ที่จะชวนคุณมาร่วมกอบกู้โลกใบนี้ไปด้วยกันที่ Sustainability Expo 2025: “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” เพราะโลกที่ดีกว่า...เริ่มต้นได้จากเราทุกคน