ไม่ใช่ทุกอย่างที่เขียวจะดีต่อสิ่งแวดล้อม และกัญชาคือหนึ่งในนั้น บทความใหม่จาก Forbes เขียนโดย Andrew DeAngelo เปิดเผยความไม่ยั่งยืนของกัญชาที่มาจากผิดพลาดในเชิงนโยบายสาธารณะและสภาพตลาด ที่ทำให้พืชสีเขียวชนิดนี้สร้างมลภาวะไม่แพ้ถ่านหิน และการปลูกดอกกัญชาที่ปลูกในร่ม 1 ปอนด์ (ราว 0.45 กิโลกรัม) มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์มากกว่าการบินพาณิชย์แบบไป–กลับที่ไกลที่สุดในโลกเสียอีก ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
ก่อนอื่นต้องเข้าใจบริบทว่า คำก่าวที่อ้างวางอยู่ฐานการปลูกกัญชาในโลกตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่การปลูกกัญชาในพื้นที่ที่มีหิมตกหนัก ต้องใช้พลังงานมหาศาล โดยเฉพาะในการให้ความร้อน ระบบระบายอากาศ เครื่องปรับอากาศ และแสงไฟ การใช้พลังงานนี้นำไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการสร้างมลภาวะของการปลูกกัญชา อย่างสารเคมีกำจัดศัตรูพืช การใช้น้ำ บรรจุภัณฑ์ การขนส่ง และการใช้ที่ดิน จะมีบทบาทต่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมกัญชา แต่กต้องยอมรับว่า การปลูกกัญชาในร่มถือเป็นต้นตอหลักของการปล่อยคาร์บอน
เกษตรกรกัญชาในสหรัฐฯ เผชิญข้อกำหนดนและโยบายสาธารณะหลายข้อ ที่บีบให้ต้องปลูกในร่ม เนื่องจากชุมชนและเจ้าหน้าที่รัฐมักมองว่า การปลูกกัญชาในร่มช่วยป้องกันไม่ให้คนในชุมชนได้เห็นหรือได้กลิ่นกัญชา เพราะยังมีภาพจำว่ากัญชาเป็นสิ่งไม่ดี และลืมคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงกฎหมายข้ามขายกัญชาข้ามรัฐ ที่ทำให้ไม่สามารถขนส่งกัญชาที่ปลูกในพื้นที่อากาศอุ่นไปขายในพื้นที่อากาหนาวได้ และความเชื่อจากผูใช้งานที่ว่ากัญชาที่ปลูกในร่มมี “คุณภาพดีกว่า”
ในประเทศไทยนั้น ก่อนหน้านี้หลังการ “ปลดล็อกกัญชา” ปะชาชนสามารถปลูกกัญชาในครัวเรือนได้ โดยมีการแนะนำให้ปลูกทั้งแบบกลางแจ้งและในร่ม คนไทยเื่อว่าการปลูกการแจ้งเหมะกับกัญชาชนิดที่ปลูกในไทยได้ดี แต่มีความยากด้านการควบคุมปัจจัยในการแลูก เช่นแสงแดด และเสี่ยงการเกิดโรค ตรงข้มกับกาปลูกใร่ม ที่สามารถควบคุปัจจัยต่างๆ ได้มากกว่า และลดความเสี่ยงโรค-ศัตรูพืช นำมาสู่ความเชื่อที่ว่า กัญชาในร่มคุณภาพดี
อ้างอิงจากรายงาน A narrative review on environmental impacts of cannabis cultivation ปี 2021 กรปลูกกัญชาโดยทั่วปทำลายสิ่งแวดล้อมดังนี้
แต่การจะทำให้กัญชาดีต่อสิ่งแวดล้อม ก็มีหนทางอยู่ บทความจาก Leafly เปิดเผย 4 วิธีทำอย่างไรให้กัญชาดีต่อสิ่งแวดล้อม 4 ways to make cannabis more environmentally friendly (วางยู่บนพื้นฐานสหรัฐฯ) คือ
ให้ความรู้แก่ผู้บริโภค สร้างความตระหนักให้ผู้บริโภครับรู้ถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การเพิ่มอุปสงค์ของตลาดจะส่งแรงผลักดันไปยังผู้ปลูกและผู้ผลิตให้หันมาปรับปรุงการผลิตและบรรจุภัณฑ์ให้ยั่งยืนขึ้น
อ้างอิง: Forbes, Leafly, A narrative review on environmental impacts of cannabis cultivation