วันที่ 19 มิถุนายน 2568 - SPOTLIGHT สื่อภายใต้บริษัท อมรินทร์ เทเลวิชั่น จำกัด ร่วมแสดงพลังในการขับเคลื่อนเมืองผ่านงานสัมมนา “Creating Sustainable City: สร้างเมืองยั่งยืน เพื่อชีวิตยืนยาว” ซึ่งจัดขึ้น ณ อาคาร CW Tower ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร ภายในงานมีการแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนจากหลากหลายภาคส่วน
ดร. อัษฎาพร ไกรพานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวเปิดงานในหัวข้อ “Equitable City For All: เมืองอยู่สบาย เข้าถึงง่าย ไร้ความเหลื่อมล้ำ” โดยเน้นย้ำว่า เมืองที่อยู่สบายควรสะท้อนคุณภาพของสังคม นำไปสู่การดำรงชีวิตที่ดีของคนรุ่นหลัง ดูแลกลุ่มเปราะบาง เหมาะสมกับสังคมผู้สูงอายุ และสามารถรับมือกับปัญหาโลกร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ การวางผังเมืองของประเทศไทยควรตั้งคำถามว่า สามารถตอบสนองความต้องการของคนรุ่นปัจจุบันและอนาคตได้หรือไม่ และในขณะนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนาด้านการปรับผังเมืองควบคู่กันไป อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดของการสร้างเมืองยั่งยืน คือความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
“สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนสู่การสร้างเมืองยั่งยืน คือหัวใจของเราทุกคน ที่ต้องเป็นหนึ่งเดียวกันว่า เราต้องการเมืองที่อยู่สบาย เมืองที่ยั่งยืน และสามารถส่งต่อให้กับคนรุ่นหลัง หากเราร่วมมือกัน เชื่อว่าเราจะไปถึงเป้าหมายนั้นได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง” ดร.อัษฎาพร กล่าว
ดร. รัตมณี อ๋องสกุล ผู้จัดการโครงการอาวุโส แผนกการพัฒนา สถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย ได้ร่วมแบ่งปันแนวทางการสร้างเมืองยั่งยืน โดยระบุว่า ปัจจุบันเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกเผชิญกับความท้าทายร่วมกัน หลายภาคส่วนจึงเริ่มมองหาเมืองที่ปลอดภัย พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง มีความสามารถในการฟื้นตัวได้รวดเร็ว โดยออสเตรเลียมีโครงการ Nature-based Solutions หรือการใช้ธรรมชาติเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาเมือง ซึ่งเน้นความสำคัญของระบบนิเวศควบคู่กับการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจ อันช่วยให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจสามารถผลักดันโครงการได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ ออสเตรเลียยังมีความร่วมมือกับประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
คุณระเบียบ ภูผา ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ยกตัวอย่างถึงความสำคัญของการสร้าง “ชุมชนคาร์บอนต่ำ” โดยระบุว่า แนวคิดดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้จริงในประเทศไทย ซึ่งก้าวแรกคือการตระหนักถึงความสำคัญของชุมชนคาร์บอนต่ำ เพราะในปัจจุบัน เราไม่ได้อยู่ในยุค “โลกร้อน” อีกต่อไป แต่กำลังอยู่ในยุค “โลกเดือด” ซึ่งส่งผลให้เกิดภัยพิบัติที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น
ในเวทีเสวนาหัวข้อ “Building Resilient City: สร้างเมืองอยู่ดีให้อยู่รอดปลอดภัย” ผู้เชี่ยวชาญหลากหลายท่านได้ร่วมแบ่งปันแนวทางการบริหารจัดการเมือง โดยเน้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเป็นเครื่องมือสำคัญ คุณวิฑูรย์ อภิสิทธิ์ภูวกุล ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล กรุงเทพมหานคร ได้นำเสนอแนวคิดในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเมือง เช่น การใช้แผนที่ความเสี่ยง (Risk Map), เรดาร์ตรวจวัดปริมาณฝน, การคาดการณ์ปริมาณฝุ่น PM2.5 และระบบตรวจวัดแรงสั่นสะเทือนในอาคารสูง
คุณณัฐนี วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืน โครงการ วัน แบงค็อก ได้กล่าวว่า โครงการดังกล่าวออกแบบโดยยึดแนวคิดความยั่งยืน เมืองอัจฉริยะ และการวางผังเมืองที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมกันนี้ยังมีการวางแผนรองรับภัยธรรมชาติตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ อาทิ ระบบรับมือแผ่นดินไหว และระบบป้องกันน้ำท่วมระดับ 500 ปี (500-Year Flood Prevention) ที่เตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติร้ายแรงที่สุดในรอบ 5 ศตวรรษ
ดร. สยาม ลววิโรจน์วงศ์ ผู้อำนวยการสำนักประยุกต์และบริหารภูมิสารสนเทศ GISTDA ได้กล่าวถึงการใช้เทคโนโลยีอวกาศและข้อมูลจากดาวเทียมในการคาดการณ์และบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยปัจจุบันประเทศไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลจากดาวเทียมกว่า 40 ดวง ซึ่งให้ข้อมูลที่รวดเร็ว แม่นยำ และสามารถวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคตได้ เช่น ปริมาณการใช้พลังงาน ประชากรแฝง และปริมาณน้ำ
ในเวทีเสวนาหัวข้อ “Livable City For People: เมืองน่าอยู่ คนต้องอยู่ได้จริง” มีการสำรวจความคิดเห็นของผู้เข้าร่วม ซึ่งพบว่าปัญหาเมืองที่ประชาชนต้องการให้แก้ไขเร่งด่วน ได้แก่ การจราจรติดขัด การจัดการขยะ มลพิษทางอากาศ (PM2.5) ถนนชำรุด ระบบขนส่งสาธารณะ น้ำท่วม และพื้นที่สีเขียวที่ไม่เพียงพอ
คุณอดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ รองผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UDDC) ให้ความเห็นว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาสะสมของเมืองที่ต้องการการจัดการอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องระบบการเดินทาง ขณะที่คุณพีรพล เหมศิริรัตน์ ผู้ร่วมก่อตั้งเพจ Environman กล่าวว่า ตนเองก็รู้สึกถึงปัญหาเรื่องการเดินทางในชีวิตประจำวันเช่นกัน
คุณอดิศักดิ์ ยังเน้นว่า การสร้างเมืองให้น่าอยู่ ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงเชิงกายภาพ การจัดการพื้นที่ และการนำธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเมือง ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชน มิฉะนั้น เมืองที่น่าอยู่จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ขณะที่คุณพีรพลกล่าวปิดท้ายว่า โครงสร้างพื้นฐานจะทำให้เมืองใช้งานได้ แต่ “ผู้คน” คือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เมืองน่าอยู่อย่างแท้จริง