ภายในงาน CREATING SUSTAINABLE CITY สร้างเมืองยั่งยืน เพื่อชีวิตยืนยาว จัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน 2568 ณ ซี อาเซียน ออดิทอเรียม อาคารไซเบอร์เวิลด์ ทาวเวอร์ ในวงเสวนาหัวข้อ “Livable City For People เมืองน่าอยู่ คนต้องอยู่ได้จริง” มีเนื้อหาที่น่าสนใจ โดยชวนถกกันถึงปัญหาและความท้าทายที่สุดในการแก้ไขเมืองให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน และพูดถึงปัจจัยอะไรบ้างที่จะทำให้เมืองไม่น่าอยู่
ในงานยังมีการสำรวจความคิดเห็นของผู้เข้าร่วม ซึ่งพบว่า ปัญหาเมืองที่ประชาชนต้องการให้แก้ไขเร่งด่วน ได้แก่ การจราจรติดขัด การจัดการขยะ มลพิษทางอากาศ (PM2.5) ถนนชำรุด ระบบขนส่งสาธารณะ น้ำท่วม และพื้นที่สีเขียวที่ไม่เพียงพอ แต่เราจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไรอย่างยั่งยืน?
คุณอดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ รองผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC) กล่าวว่า ปัญหาเรื่องเมืองถือว่าเป็น Pain Point โดยปัญหาหลัก ๆ ของกรุงเทพฯและคนเมือง ประการแรกก็คือ การจราจรติดขัด พ่วงมาด้วยระบบขนส่งสาธารณะ และถนนหนทาง สามเรื่องนี้พบว่าเป็นเรื่องเดียวกัน
ประการที่สองคือเรื่องสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ว่าจะเป็นอากาศ น้ำเสีย การจัดการขยะ เกิดจากมลพิษคนเมืองที่สูงขึ้น รวมถึงเรื่องน้ำท่วมด้วย และประการสุดท้ายคือ พื้นที่สาธารณะและพื้นที่สีเขียว
ด้านคุณพีรพล เหมศิริรัตน์ ผู้ร่วมก่อตั้งเพจ Environman มองตรงกัน โดยชี้ว่า เมืองของเรามีปัญหาเรื่องการจราจรเป็นหลัก และส่วนตัวเชื่อว่า ทุกที่ในกรุงเทพฯ ใกล้นิดเดียว หากรถไม่ติดหรือระบบขนส่งเข้าได้อย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ หลังจากโควิดเป็นต้นมา หลายๆ คนมองหาพื้นที่ที่เป็นพื้นที่สาธารณะ ผู้คนมองหากิจกรรมที่จะทำนอกบ้านมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกิจกรรมเชิงสิ่งแวดล้อมหรือกิจกรรมที่ทำให้มีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติ แต่ ณ ปัจจุบันอาจจะมีพื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่สาธารณะไม่เพียงพอ และเห็นว่า ในสมัยนี้มีคนเลี้ยงสัตว์มากยิ่งขึ้น แต่พื้นที่สำหรับสัตว์ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าหรือว่าพื้นที่สาธารณะยังไม่เพียงพอ
คุณอดิศักดิ์กล่าวว่า โจทย์ของเมืองน่าอยู่คือ คนต้องอยู่ได้จริง และเมืองที่น่าอยู่ต้องทำให้เราอยากเข้าไปอยู่ในพื้นที่นั้น หลัก ๆ แล้วมีองค์ประกอบ 3 เรื่องที่จะทำให้เราเข้าใจเมืองน่าอยู่
เวลามองเมืองต้องมองควบคู่กับคนไปพร้อมกัน เพราะเมืองกับผู้คนเป็นสิ่งที่เราแยกออกจากกันไม่ได้ เมืองน่าอยู่ไม่ใช่แค่ออกแบบทางกายภาพของเมืองอย่างเดียว แต่ต้องออกแบบพฤติกรรม ออกแบบวิธีการที่คนที่อยู่ในเมืองจะมีปฏิสัมพันธ์กับเมืองนั้น ๆ
คุณอดิศักดิ์ยังได้นำเสนอแนวคิดการบริหารจัดการเวลาในชีวิตประจำวันของคนเมืองผ่านโมเดล “888” ซึ่งแบ่งช่วงเวลา 24 ชั่วโมงออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่
แนวคิดนี้ช่วยให้เข้าใจว่าการพัฒนาเมืองให้ “น่าอยู่” ต้องสอดคล้องกับกิจกรรมหลักทั้งสามด้านของชีวิตคนเมือง คือ การอยู่อาศัย การทำงาน และการใช้เวลาว่าง
เมื่อทำความเข้าใจกายภาพแล้ว การจะเป็นเมืองน่าอยู่หรืออยู่ได้ ต้องสอดคล้องกับ 3 กิจกรรมของคนเมือง ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ เรื่องการทำงาน มีความคิดมีพื้นที่ได้ปล่อยของ มีพื้นที่ที่เอื้อให้ผู้คนได้เดินทางสะดวก มีพื้นที่ให้ผู้คนได้พบปะพูดคุย ซึ่งเป็นหลักของ 3C ที่เป็น Create , Connect และ Consume อันเป็นกรอบในการมองเมืองน่าอยู่ที่ค่อนข้างง่าย จากบริบทพื้นที่และบริบทความสัมพันธ์
ความเป็นเมืองมิได้จำกัดอยู่เพียงกรุงเทพมหานคร หากแต่ทุกเมืองในประเทศไทยต่างมีศักยภาพในการพัฒนาให้กลายเป็นเมืองน่าอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม โจทย์ของการพัฒนาเมืองน่าอยู่ในปัจจุบันมิใช่เพียงความคาดหวังของชาวเมืองหลวงหรือเมืองขนาดใหญ่ แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนของทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
เมืองในยุคปัจจุบันเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะสถานการณ์ด้านประชากรที่ทั่วโลกต่างประสบปัญหาอัตราการเกิดต่ำ ส่งผลให้เกิดภาวะ “เมืองหด” และ “เมืองแก่” ซึ่งหมายถึงจำนวนประชากรที่ลดลงและการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น จังหวัดลำพูน ซึ่งจัดเป็นเมืองสูงวัยลำดับสามของประเทศ โดยในเขตเทศบาลบางแห่งไม่มีเด็กเกิดใหม่เลย ขณะที่มีผู้เสียชีวิตถึง 3 คน และสัดส่วนผู้สูงอายุสูงถึง 33% กล่าวคือ ทุก 10 คนจะมีผู้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุถึง 3 คน
ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยโดยสมบูรณ์แล้ว โดยจังหวัดที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดคือ ลำปาง รองลงมาคือ พะเยา และลำพูน เมืองที่น่าอยู่จึงต้องปรับตัวให้สอดรับกับบริบทของสังคมสูงวัย นอกจากการรองรับผู้สูงอายุ เมืองน่าอยู่ยังต้องคำนึงถึงมิติของ “เกิด แก่ เจ็บ ตาย” อย่างครบถ้วน
แม้ระบบสาธารณสุขของไทยจะอยู่ในระดับดี ทำให้ประชาชน “แก่ช้า ตายช้า” แต่สิ่งที่ตามมาคือการมีชีวิตช่วงปลายที่ไม่แข็งแรง ตัวอย่างเช่น ในลำพูนและร้อยเอ็ด พบว่าผู้สูงอายุจำนวนมากป่วยด้วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานเป็นเวลานานกว่า 20 ปี นี่คือสิ่งที่สะท้อนภาวะ “เจ็บนาน” ดังนั้น เมืองน่าอยู่ควรมีพื้นที่ส่งเสริมสุขภาพ เช่น สวนสาธารณะหรือพื้นที่กิจกรรม ที่สนับสนุนการมีชีวิตที่แอคทีฟในช่วงบั้นปลาย
ในกรุงเทพมหานคร อายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 78 ปี แต่ “อายุขัยที่มีสุขภาพดี” อยู่เพียงประมาณ 70 ปี หมายความว่าผู้คนต้องใช้ชีวิตอีก 7–8 ปีในภาวะเจ็บป่วย นี่คือช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุด และเป็นเหตุผลสำคัญที่ต้องออกแบบสภาพแวดล้อมที่ดีในระยะสุดท้ายของชีวิต
เมื่อพูดถึงย่านน่าอยู่ ไม่ได้หมายถึงเพียงพื้นที่ที่มีเศรษฐกิจดีหรือโอกาสทางอาชีพเท่านั้น หากแต่ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบอื่นๆ เช่น ความสามารถในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข ความปลอดภัยในยามฉุกเฉิน คุณภาพของระบบขนส่ง และสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต เช่น เสียงรบกวน มลภาวะ การออกกำลังกาย หรือพื้นที่สีเขียว
โจทย์สำคัญในยุคนี้ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตโดยตรง เช่น ปริมาณฝนที่ไม่แน่นอน อุณหภูมิเฉลี่ยที่สูงขึ้นทั่วโลกกว่า 1.75 องศาเซลเซียส สิ่งเหล่านี้คือ “โจทย์ใหม่” ที่ทุกเมืองต้องตระหนักและวางแผนรองรับควบคู่ไปกับปัจจัยพื้นฐานอื่น ๆ
การสร้างเมืองน่าอยู่ในยุคใหม่จึงต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงสองด้านสำคัญ ได้แก่
หากเปลี่ยนแปลงเพียงโครงสร้างโดยไม่ปรับพฤติกรรม เมืองก็จะไม่สามารถพัฒนาไปสู่เป้าหมายที่แท้จริงได้ นี่คือความท้าทายสำคัญที่ต้องเผชิญในการพัฒนาเมืองน่าอยู่ให้เท่าทันยุคสมัย กาลเวลา และพลวัตของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง
คุณพีรพล ตัวแทนจากเพจ Environman ซึ่งทำงานด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะเรื่องขยะในเมือง ได้กล่าวถึงแนวทางการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนว่า ปัญหาขยะในเมืองจำนวนมากเกิดจากพฤติกรรมซ้ำ ๆ ที่ฝังรากลึก เช่น การทิ้งขยะในจุดที่ไม่เหมาะสมเพียงเพราะมีผู้อื่นทำมาก่อน จนกลายเป็น “จุดทิ้งขยะโดยไม่ได้นัดหมาย” ที่ยากจะแก้ไข
แม้ประชาชนจะสามารถเรียกร้องให้รัฐดำเนินนโยบายหรือปรับโครงสร้างผังเมืองเพื่อสนับสนุนการจัดการขยะได้ แต่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือ การที่ภาคประชาชนสามารถลงมือทำได้พร้อมกันกับภาครัฐ โดยไม่ต้องรอให้การปรับเปลี่ยนเชิงกายภาพแล้วเสร็จก่อน
“เมื่อเราเรียกร้องให้เกิดการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ต้องลงมือทำอะไรเลย พฤติกรรมการทิ้งขยะไม่ถูกที่ เช่น เห็นกำแพงว่างก็ทิ้งขยะใส่ ก็ไม่ควรเกิดขึ้นอีก เราควรเริ่มต้นจากการแยกขยะในพื้นที่ของตนเองให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้” คุณพีรพลกล่าว
เขายังเน้นว่า นโยบายและกฎหมายเป็นเพียงกลไกหนึ่งที่กระตุ้นพฤติกรรมของสังคม แต่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกคน การออกแบบโครงสร้างเมืองที่ดีต้องเกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชนอย่างแท้จริง