เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศไทยที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา เข้ามากระตุ้นเตือนให้ทุกภาคส่วนหันมาให้ใส่ใจกับความปลอดภัยในชุมชนมากขึ้น และเรียกร้องหา “เมือง” ที่ถูกออกแบบไว้ล่วงหน้าเพื่อให้ผู้คน “อยู่รอด” ในสถานการณ์ฉุกเฉิน แน่นอนว่า การจะสร้างเมืองอัจฉริยะที่พร้อมรับมือกับภัยพิบัติ ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐที่มีหน้าที่บริบาลประชาชนโดยตรง บริษัทห้างร้าน เอกชน ไปจนถึงคนตัวเล็ก ๆ ทุกคนที่อาศัยอยู่ในชุมชน
โอกาสนี้ Spotlight เปิดพื้นที่ให้บรรดา “ผู้นำแห่งการรับภัยพิบัติ” ไม่ว่าจะเป็นคุณวิฑูรย์ อภิสิทธิ์ภูวกุล ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล กรุงเทพมหานคร หนึ่งในหน่วยงานรัฐที่พาเมืองหลวงของประเทศไทยฝ่าวิกฤตมาได้อย่างเจ็บตัวน้อยที่สุด, คุณณัฐนี วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืนโครงการ วัน แบงค็อก ผู้นำที่พลิกโครงการสันทนาการขนาดใหญ่สู่พื้นที่ปลอดภัยในนาทีแห่งภัยพิบัติ และดร.สยาม ลววิโรจน์วงศ์ ผู้อำนวยการสำนักประยุกต์และบริหารภูมิสารสนเทศ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ที่จะมาร่วมแชร์แนวคิดว่า “ข้อมูล” คือก้าวแรกในการสร้างเมืองอัจฉริยะ ผ่านการเสวนาในหัวข้อ “Building Resilient City - สร้างเมือง ‘อยู่ดี’ ให้ ‘อยู่รอด’ ปลอดภัย”
เมื่อกล่าวถึงการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติให้แก่ประชาชน หน่วยงานภาครัฐถือเป็นกลุ่มแรกที่มีบทบาทสำคัญในการวางแผนและรับมือในช่วงสถานการณ์วิกฤต หนึ่งในหน่วยงานที่มีบทบาทโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา คือ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งเพิ่งเผชิญกับภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ที่กลายเป็นบททดสอบสำคัญต่อศักยภาพของทีมงานในการบริหารจัดการวิกฤตอย่างเป็นระบบ
คุณ วิฑูรย์ อภิสิทธิ์ภูวกุล ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล กรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า กรุงเทพมหานครได้กำหนดแนวทางและขั้นตอนการดำเนินงานเพื่อเตรียมความพร้อมและรับมือกับภัยพิบัติ โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ซึ่งได้รับความสำคัญจากฝ่ายบริหาร นำโดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ดังนี้
ในปัจจุบัน กรุงเทพมหานครได้วางระบบการเตรียมความพร้อมเชิงรุกสำหรับภัยพิบัติและเหตุไม่คาดฝัน โดยจำแนกภัยพิบัติออกเป็น 9 ประเภท พร้อมกระจายแผนปฏิบัติการไปยังทั้ง 50 เขต เพื่อให้แต่ละพื้นที่มีศักยภาพในการตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที โดยมีการฝึกซ้อมและทบทวนแผนเป็นประจำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างที่ชัดเจนในการปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวคือเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีจุดศูนย์กลางจากประเทศเมียนมา โดยคุณวิฑูรย์ ถือเป็นเหตุการณ์ไม่คาดคิด และถือเป็น “บททดสอบ” สำคัญด้านการบริหารภัยพิบัติในเมืองหลวงอย่างเป็นระบบ
หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวขึ้น คุณวิฑูรย์ เปิดเผยว่า กทม. มีมาตรการตอบสนองโดยทันที โดย ตั้งศูนย์บัญชาการขึ้นมา 2 ศูนย์ใน 2 ระดับ เพื่อเชื่อมโยงระหว่างฝ่ายบริหารและปฏิบัติการ ทำหน้าที่สั่งการในภาพรวมอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่
คุณวิฑูรย์ เผยว่า การปฏิบัติงานของศูนย์บัญชาการและศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้าในพื้นที่ไม่ได้เป็นการทำงานโดยลำพัง แต่เป็นความร่วมมือและการบูรณาการอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กรมโยธาธิการ หรือหน่วยสนับสนุนอื่น ๆ ที่มีบทบาทในภารกิจครั้งนี้ โดยเป้าหมายหลักอันดับแรกคือการช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้ปลอดภัยก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการประเมินความเสียหายของอาคาร และวางแนวทางมาตรการด้านความปลอดภัยทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาวอย่างเป็นระบบ
พร้อมกันนี้ กรุงเทพมหานครยังให้ความสำคัญเป็นพิเศษต่อการสื่อสารในภาวะวิกฤต โดยได้ออกข้อสั่งการ 6 ข้อ เพื่อใช้เป็นแนวทางเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณชนอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการรายงานผลการตรวจสอบโครงสร้างอาคารโดยวิศวกรอาสา การขอรับการสนับสนุนอุปกรณ์และทรัพยากรจากกระทรวงกลาโหม การสั่งการให้ตรวจสอบอาคารขนาดใหญ่ และการดำเนินการเยียวยาผู้ประสบภัยในกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ อย่างครอบคลุม
ในด้านมิติมนุษยธรรม กทม. ยังได้ตระหนักถึงกลุ่มประชากรเปราะบาง โดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติจากประเทศเมียนมา ซึ่งอาจเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสารในช่วงวิกฤต ดังนั้นจึงได้จัดทำเอกสารประชาสัมพันธ์เป็นภาษาพม่า เพื่อให้ความช่วยเหลือและสร้างความเข้าใจอย่างทั่วถึง
สำหรับมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น กทม. ได้เปิดสวนสาธารณะหลายแห่ง เช่น สวนเบญจสิริและสวนลุมพินี เพื่อใช้เป็นพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับประชาชนที่ไม่สามารถกลับเข้าที่พักได้ พร้อมทั้งจัดกิจกรรมดนตรีในสวน เพื่อช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด และสร้างความมั่นใจว่าอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย
ในขณะเดียวกัน กทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเร่งปฏิบัติการช่วยเหลือ ณ พื้นที่เกิดเหตุอย่างต่อเนื่อง โดยประสานงานร่วมกับหน่วยงานภาคสนาม อาทิ ทีม K9 USAR กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กองทัพ และอาสาสมัครจากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งและมูลนิธิร่วมกตัญญู
นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังได้นำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมประสิทธิภาพในการจัดการผลกระทบจากภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ ยกตัวอย่างเช่น
ในด้านการเยียวยา กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการตามกฎหมายเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็น การจ่ายค่าที่พักชั่วคราว (ค่าเช่าบ้าน) การร่วมมือกับ Airbnb เพื่อจัดหาที่พักรองรับในระยะเร่งด่วน และการเปิดช่องทางให้ประชาชนสามารถแจ้งเหตุผ่านสำนักงานเขตทั้ง 50 เขต ได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการรับเรื่องและแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับระดับความเสียหายที่เกิดขึ้นในแต่ละกรณี
ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงการดำเนินงานเชิงรุกของกรุงเทพมหานคร ในการบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ และมุ่งเน้นการประสานงานทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาในสถานการณ์จริงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อเหตุการณ์
สำหรับการปรับตัวปรับเมืองหลังเกิดภัยพิบัติ ในมุมมองของกรุงเทพมหานคร การเตรียมเมืองให้พร้อมรับมือภัยพิบัติไม่ใช่แค่การรับมือเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่ต้องวางรากฐานเพื่อให้เมืองสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วภายใต้แนวคิด “เมืองล้มลุก” หรือ Resilient City ซึ่งคุณวิฑูรย์ อธิบายว่า กทม. ได้เริ่มนำเทคโนโลยีหลากหลายรูปแบบมาใช้เพื่อลดข้อจำกัดด้านทรัพยากร เช่น เงินทุนและกำลังคน และช่วยให้สามารถวางแผนเชิงระบบได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเทคโนโลยีสำคัญ ได้แก่
นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังได้นำแนวทางการบริหารจัดการแบบ OKR (Objective Key Results) มาใช้ในการวางแผนรับมือและฟื้นฟูเมืองหลังภัยพิบัติ โดยกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ระยะเวลาในการเข้าถึงพื้นที่เกิดเหตุ และการจัดทำบัญชีทรัพยากร (Inventory Resource) ที่มีอยู่ในแต่ละเขต เพื่อให้สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญคือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าตนกำลังอาศัยอยู่ในเมืองที่มีระบบความปลอดภัยรองรับอย่างเป็นรูปธรรม
ในขณะเดียวกัน กทม. ยังได้บูรณาการแนวทางตามมาตรฐานสากลจากกรอบของ UNDRR MCR 2030: Making Cities Resilient ซึ่งให้คำแนะนำ 10 ข้อสำหรับการสร้างเมืองที่มีความยืดหยุ่นต่อภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลง โดยกรุงเทพมหานครได้นำองค์ความรู้นั้นมาประยุกต์จัดทำเป็นยุทธศาสตร์ในรูปแบบ “9 ด้าน 9 ดี” เช่น เรียนดี ปลอดภัยดี บริการจัดการดี สุขภาพดี สิ่งแวดล้อมดี สังคมดี
คุณวิฑูรย์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ยุทธศาสตร์ “9 ด้าน 9 ดี” นี้ได้ถูกร่างเป็นแผนแม่บทที่ครอบคลุมทุกมิติของความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตในเมือง โดยได้กำหนด OKR สำหรับแต่ละหน่วยงานในระดับปฏิบัติ เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินการของภาครัฐสอดคล้องกับมาตรฐานสากลอย่างแท้จริง
โครงการ วัน แบงค็อก ได้เปิดให้บริการตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2567 เป็นกลุ่มอาคารตามโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม หรือ Mixed-Use ซึ่งจะมีทั้งอาคารที่เป็นห้างสรรพสินค้า สำนักงาน โรงแรม และอาคารที่พักอาศัย โดยมีหลักการออกแบบบนพื้นฐาน 3 ประการ ได้แก่ 1. การออกแบบที่เน้นผู้คนเป็นศูนย์กลาง หรือ People Centric 2. ความยั่งยืน หรือ Sustainability ซึ่งให้ความสำคัญทั้งความยั่งยืนด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม และ 3. แนวคิดการออกแบบเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City Living ซึ่งใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ของผู้คนในเมือง
คุณณัฐนี วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืนโครงการ วัน แบงค็อก กล่าวว่า นอกจากหลักการออกแบบพื้นฐาน 3 ประการข้างต้นแล้ว วัน แบงค็อก ยังพยายามใช้ตัวชี้วัดตามมาตรฐานสากลเข้ามาประเมินองค์ประกอบต่าง ๆ ภายในโครงการ ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานด้านเทคโนโลยีว่ามีเพียงพอและทันสมัยพอแล้วหรือไม่ สิ่งอำนวยความสะดวกสร้างความปลอดภัยมากพอแล้วหรือยัง ไปจนถึงชุมชนภายในโครงการฯ ว่ามีความอยู่ดีมีสุขอย่างเต็มคุณภาพในระดับใด
ขณะที่กรอบแนวคิดของการปั้นโครงการ วัน แบงค็อก ให้เป็น “เมืองอัจฉริยะ” และ “เมืองที่ยืดหยุ่น” เป็นสิ่งที่ผู้พัฒนาโครงการฯ เล็งเห็นความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง แต่ทุกวันนี้ การสร้าง “เมืองที่รอรับมือ” อาจไม่เพียงพอแล้ว เพราะเมืองที่รอรับมือจะคิดแก้ไขปัญหาหลังเกิดสถานการณ์หรือวิกฤตที่ไม่คาดคิด แต่การจะสร้างเมืองที่ยั่งยืนได้จริง จะต้องใช้กรอบของ “เมืองที่พร้อมอยู่เสมอ” เป็นเมืองที่ต้องมองไปข้างหน้าไว้ก่อน คาดการณ์อย่างมีข้อมูลเชิงลึกว่ามีโอกาสจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นได้บ้าง ต่อเนื่องไปถึงการหาวิธีแก้ปัญหาล่วงหน้า และต้องใช้มาตรการอะไรบ้างที่จะฟื้นฟูสภาพของเมืองให้กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็วที่สุด
เหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา นับว่าเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นหลังจากที่ วัน แบงค็อก ยังเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ไม่ครบปี แต่ด้วยแนวคิด “เมืองที่พร้อมอยู่เสมอ” ทำให้โครงสร้างอาคารหลายหลังบนพื้นที่ใช้สอยทั้งหมดกว่า 108 ไร่ หรือประมาณ 1.93 ล้านตารางเมตร ไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ เลย หลังได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญ ภายใน 1 สัปดาห์เท่านั้น โครงการ วัน แบงค็อก ก็สามารถกลับมาใช้งานได้เต็มรูปแบบ
คุณณัฐนี ชวนมาย้อนดูหลักการออกแบบอาคารที่คิดเผื่ออนาคตมาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว ที่เริ่มแผนก่อสร้าง จากคำถามสั้น ๆ ในวันนั้น “หากเกิดแผ่นดินไหวบนพื้นที่ขนาดใหญ่ของเรา เราจะรับมือกันอย่างไร” กลายมาเป็นคำตอบที่ว่า “เราต้องสร้างอาคารที่มีความแข็งแรง” เริ่มตั้งแต่เสาเข็มที่ตอกลงกลางดินในกรุงเทพฯ ซึ่งล้วนเป็นดินอ่อน ซึ่งมีโอกาสเคลื่อนตัวได้ง่าย และจะส่งผลต่อโครงสร้างที่อยู่เหนือดินขึ้นมา ดังนั้น เสาเข็มของอาคารจะต้องเจาะให้ถึงชั้นทรายที่มีโอกาสเคลื่อนตัวน้อยกว่า พร้อมสร้างฐานรากขนาดใหญ่ที่ยึดอาคารทั้งโครงการไว้ด้วยกัน ยิ่งสร้างความเสถียรให้กับกลุ่มอาคารทั้งหมด
เมื่อมีโครงสร้างที่แข็งแกร่งแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือระบบที่จะรับมือ “ขณะเกิดเหตุแผ่นดินไหว” ผู้ที่บริหารอาคารจะต้องมีความเข้าใจในขั้นตอนการอพยพผู้คนไปยังจุดปลอดภัย สำหรับพื้นที่โล่งของโครงการ วัน แบงค็อก ออกแบบมาให้รองรับได้มากกว่า 100,000 คน หลายคนอาจมองว่าพื้นที่เปิดโล่งของโครงการฯ มีประโยชน์เพียงแค่สันทนาการเป็นหลัก แต่ในวันที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว วัน แบงค็อก เปิดพื้นที่ให้ผู้คนที่ติดอยู่กลางเมืองเข้ามารอได้อย่างปลอดภัย แจกจ่ายน้ำ-อาหารจากร้านอาหารภายในโครงการ และใช้ห้องน้ำในพื้นที่ ซึ่งสะท้อนแนวคิดพื้นที่ Mixed-use ได้เป็นอย่างดี
หนึ่งในปัญหาที่อยู่คู่กับคนกรุงเทพฯ มานาน โดยเฉพาะในหน้าฝน คือการเกิดน้ำท่วมฉับพลันเป็นประจำทุกปี แม้โครงการระดับโลกอย่าง วัน แบงค็อก ที่ตั้งอยู่ใจกลางมหานคร ก็อาจหนีไม่พ้นปัญหาดังกล่าว ผู้บริหารโครงการฯ จึงนำ ‘เทคโนโลยีวิเคราะห์และป้องกัน’ มาใช้ควบคู่ไปกับการสร้างโครงการขนาดมหึมาแห่งนี้ ภายใต้โปรเจกต์ 500-Year Flood Prevention เพราะจากการเก็บข้อมูลแล้ว แนวโน้มของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
ตัวเลขระดับน้ำฝน คือปัจจัยสำคัญที่ถูกนำมาศึกษา และปลายทางก็มีพื้นที่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับปริมาณน้ำฝนโดยเฉพาะ อย่างเช่น หากมีฝนตกหนัก พื้นที่สวนริมถนนพระราม 4 จะกลายเป็นพื้นที่ซับน้ำชั้นดี ในขณะที่สวนสวยที่เห็นยังค่อยๆยกระดับสูงขึ้นเพื่อให้พื้นที่ด้านในโครงการอยู่พ้นระดับน้ำท่วม หากวันที่น้ำท่วมหนักมาถึงจริงถึงขั้นน้ำท่วมรอบโครงการ วัน แบงค็อก ฝ่ายอาคารพร้อมที่จะติดตั้ง Flood gates และ stop logs หรือแผ่นเหล็กกันน้ำหน้าทางเข้า-ออก ตามที่ได้รับการฝึกฝนและซักซ้อมกันไว้ ก่อนที่น้ำจะสามารถสร้างความเสียหายให้ผู้คน
สำหรับเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่น่าสนใจก็คืออาคารที่เรียกว่า District Command Center ซึ่งมีระบบ Disaster Management และเป็นหัวใจสำคัญของโครงการฯ ที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความเสียหายเมื่อเกิดภัยพิบัติ และรวมศูนย์ตัดสินใจว่าจะรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่าง โดยมีระบบเซ็นเซอร์รับข้อมูลกว่า 1 ล้านจุดทั่วโครงการฯ เครื่องมือควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ มากถึง 275,000 จุด และกล้องวงจรปิดที่มีระบบปัญญาประดิษฐ์ (Ai) เพื่อตรวจหาสิ่งผิดปกติ และตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที
หลังจากที่ดูแนวทางและวิสัยทัศน์ของภาครัฐและภาคเอกชนกันไปแล้ว จะเห็นได้ว่า “เทคโนโลยี” กลายเป็นเครื่องมือหลักในการยกระดับการบริหารจัดการภัยพิบัติในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า การวางผังเมืองให้รับมือกับความเสี่ยง หรือการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นและปรับตัวได้ในระยะยาว กระแสความเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ภาควิชาการและเทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงตัวสนับสนุน แต่เป็นกำลังหลักที่ขาดไม่ได้ในการรับมือกับโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
หนึ่งในหน่วยงานที่ก้าวขึ้นมาเป็นฟันเฟืองสำคัญในด้านนี้ คือ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ที่ไม่เพียงทำหน้าที่รวบรวม วิเคราะห์ และส่งต่อข้อมูลภูมิสารสนเทศอย่างแม่นยำ แต่ยังผลักดันการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ เพื่อเปลี่ยน “ข้อมูล” ให้กลายเป็น “เครื่องมือตัดสินใจ” ที่ทรงพลัง ทั้งในยามเกิดภัย และในยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน
ปัจจุบัน หนึ่งในเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันและจัดการภัยพิบัติในปัจจุบัน คือเทคโนโลยีอวกาศ โดยเฉพาะข้อมูลจากดาวเทียม ซึ่งสามารถนำมาใช้ทั้งในการติดตามสถานการณ์ พยากรณ์ล่วงหน้า และวางแผนรับมืออย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
ดร.สยาม ลววิโรจน์วงศ์ ผู้อำนวยการสำนักประยุกต์และบริหารภูมิสารสนเทศ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) อธิบายว่า ประเทศไทยเริ่มนำเทคโนโลยีอวกาศมาใช้มากขึ้นในการวางแผนผังเมือง การพัฒนาเมืองให้น่าอยู่ เมืองที่ยั่งยืน และเมืองที่สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ดี (resilient cities) โดยข้อมูลจากดาวเทียมมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากสามารถให้ภาพรวมของสถานการณ์ในประเทศได้อย่างชัดเจน เป็นฐานข้อมูลที่ช่วยในการวิเคราะห์และตัดสินใจเชิงนโยบายทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ
ดร.สยาม ระบุว่า ข้อมูลจากดาวเทียมมีจุดเด่นหลักหลายประการ ได้แก่
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีทรัพยากรด้านดาวเทียมที่พัฒนาขึ้นทั้งหมด 3 ดวง ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการเสริมขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่และภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่
อย่างไรก็ตาม ดร. สยาม กล่าวว่า การใช้งานดาวเทียมของไทยไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงดาวเทียมของประเทศตนเองเท่านั้น เพราะไทยยังมีเครือข่ายความร่วมมือกับพันธมิตรทั่วโลก ทั้งจากสหรัฐฯ จีน ยุโรป ญี่ปุ่น และอินเดีย ซึ่งรวมกันเป็น “กลุ่มดาวเทียมร่วม” (constellation) ที่ปัจจุบันไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลจากดาวเทียมกว่า 40 ดวง เพื่อใช้ในการบริหารจัดการภัยพิบัติ
ทั้งนี้ ทั่วโลกมีดาวเทียมถ่ายภาพที่โคจรอยู่รอบโลกกว่า 500 ดวง ซึ่งทำหน้าที่บันทึกภาพและข้อมูลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยหน่วยงานหลักในไทยที่รับผิดชอบด้านนี้คือ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ซึ่งมีบทบาทในการรวบรวม วิเคราะห์ และเผยแพร่ข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับตัวอย่างการใช้ข้อมูลจากดาวเทียม เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์จริง และบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างแม่นยำ ดร.สยาม อธิบายว่าข้อมูลจากดาวเทียมไม่ใช่เพียงภาพถ่ายจากอวกาศ หากแต่เปรียบเสมือน "ดวงตา" ที่สามารถเฝ้าติดตาม ตรวจจับ และบันทึกสถานการณ์จริงบนพื้นโลกอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน หรือความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่ก่อตัวอย่างช้า ๆ แต่ส่งผลรุนแรงต่อชีวิตและเศรษฐกิจ
ดาวเทียมมีจุดแข็งหลายด้าน เช่น ความสามารถในการบันทึกภาพได้อย่างรวดเร็ว ครอบคลุมพื้นที่กว้าง ติดตามซ้ำในช่วงเวลาสม่ำเสมอ และให้ข้อมูลที่มีความละเอียดสูงโดยไม่ถูกจำกัดด้วยสภาพอากาศหรือเวลากลางวัน-กลางคืน ต่างจากโดรนหรือการสำรวจภาคพื้นดินซึ่งมักมีข้อจำกัดด้านเวลาและภูมิประเทศ
ที่ผ่านมา GISTDA ได้นำข้อมูลจากดาวเทียมมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนการบริหารจัดการภัยพิบัติในหลากหลายรูปแบบ โดยเน้นการวิเคราะห์สถานการณ์เชิงพื้นที่แบบเรียลไทม์ รวมถึงการประเมินผลกระทบและวางแผนเชิงป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างการใช้งานที่สำคัญ อาทิ
1. กรณีน้ำท่วมและอุทกภัย
ในจังหวัดเชียงราย ข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมสามารถแสดงพื้นที่น้ำท่วมในระดับตำบลได้อย่างแม่นยำ เช่น ในกรณีสนามบินแม้ไม่ได้อยู่ในจุดที่ถูกน้ำท่วมโดยตรง แต่เส้นทางเข้าออกโดยรอบได้รับผลกระทบ ส่งผลให้การเดินทางไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ ข้อมูลนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การตัดสินใจ “ปิดสนามบินชั่วคราว” ด้วยเหตุผลที่อิงจากหลักฐานเชิงพื้นที่อย่างชัดเจน
ในจังหวัดเชียงใหม่ ภาพจากดาวเทียมแสดงให้เห็นการเอ่อล้นของแม่น้ำ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าสาเหตุของน้ำท่วมไม่ได้มาจากฝนตกหนักเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากน้ำล้นตลิ่ง ระบบระบายน้ำที่ไม่เพียงพอ จึงสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อวิเคราะห์ปัญหาเชิงโครงสร้างได้อย่างเป็นรูปธรรม
ในพื้นที่ภาคกลาง ข้อมูลดาวเทียมถูกนำมาใช้เพื่อติดตามสถานะของ “ทุ่งรับน้ำ” ในพื้นที่เกษตรกรรม โดยช่วยประเมินว่าชาวบ้านได้เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วหรือยัง เพื่อให้สามารถตัดสินใจผันน้ำเข้าสู่พื้นที่รองรับได้ในเวลาที่เหมาะสม ลดผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม
ในพื้นที่ภาคใต้ ในกรณีที่เกิดน้ำหลากฉับพลัน (flash flood) ข้อมูลจากดาวเทียมทำหน้าที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สามารถยืนยันขอบเขตของความเสียหายได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ข้อมูลเหล่านี้จึงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนกระบวนการชดเชยความเสียหายแก่ประชาชนให้เป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม
2. ดินถล่มและความชื้นในดิน
ข้อมูลจากดาวเทียมสามารถใช้ตรวจวัดค่าความชื้นในดินในลักษณะรายสัปดาห์ ซึ่งช่วยให้สามารถติดตามแนวโน้มของการสะสมความชื้นในแต่ละพื้นที่ได้อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ในกรณีดินถล่มที่จังหวัดเชียงรายเมื่อปีที่ผ่านมา พบว่าฝนได้ตกติดต่อกันเป็นเวลาหลายสัปดาห์ จนกระทั่งดินไม่สามารถอุ้มน้ำได้อีกต่อไปและเกิดการพังทลายในที่สุด
เมื่อข้อมูลดังกล่าวถูกนำมาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลความชันของภูมิประเทศ จะสามารถระบุ “จุดเสี่ยงล่วงหน้า” ได้อย่างแม่นยำ ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเฝ้าระวังพื้นที่เฉพาะจุด และวางแผนป้องกันหรือเตือนภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. หมอกควัน ไฟป่า และฝุ่น PM 2.5
ข้อมูลจากดาวเทียมมีบทบาทสำคัญในการติดตามต้นตอของการเผาในภูมิภาค โดยเฉพาะผ่านการตรวจจับจุดความร้อน (hotspot) ซึ่งสามารถระบุพื้นที่เกิดไฟได้แบบเรียลไทม์ ตัวอย่างเช่น ในช่วงปลายปีพบจุดความร้อนจำนวนมากในพื้นที่ของประเทศกัมพูชา ขณะที่ช่วงต้นปี แหล่งการเผาหลักจะกระจุกตัวอยู่ในพม่าและลาว โดยข้อมูลเหล่านี้สะท้อนถึงรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินและกิจกรรมการเผาเพื่อเกษตรกรรมตามฤดูกาล ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพอากาศในภาคกลางของประเทศไทย
ข้อมูล hotspot ดังกล่าวได้ถูกนำมาใช้ประกอบการวางแผนเชิงนโยบาย เช่น การกำหนดช่วงเวลา “งดเผา” ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนของทุกปี โดยวิเคราะห์จากการสำรวจว่าการเผาเกิดขึ้นมากในช่วงใด พื้นที่ใดได้รับผลกระทบ และปริมาณมลพิษที่แพร่กระจายเข้าสู่ประเทศไทยในแต่ละช่วงเวลา
นอกจากนี้ GISTDA ยังได้นำภาพถ่ายจากดาวเทียมมาใช้เปรียบเทียบระดับมลพิษทางอากาศ เช่น ค่าความเข้มข้นของไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ก่อนและหลังช่วงการปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมมนุษย์กับคุณภาพอากาศ และใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับกำหนดมาตรการควบคุมมลพิษในระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพ
4. แผ่นดินไหวและความเสียหายจากโครงสร้าง
ข้อมูลจากดาวเทียมมีบทบาทสำคัญในการติดตามและประเมินผลกระทบจากแผ่นดินไหว โดยเฉพาะในกรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศเมียนมา ซึ่งสามารถใช้ภาพถ่ายจากดาวเทียมในการแสดงให้เห็นรอยเลื่อนของเปลือกโลก รอยแตกของผิวดิน ตลอดจนความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างชัดเจน โดยการเปรียบเทียบภาพก่อนและหลังเกิดเหตุ ทำให้สามารถประเมินความเสียหายในเชิงพื้นที่และเชิงปริมาณได้อย่างแม่นยำและเป็นระบบ
นอกจากนี้ ดาวเทียมยังสามารถใช้ในการตรวจสอบ “การเอียงตัว” หรือ “การเคลื่อนตัวของอาคาร” ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยในเมืองที่ตั้งอยู่ในเขตเสี่ยงภัย ตัวอย่างเช่น โครงการในกรุงไทเปที่ใช้เทคโนโลยี satellite-based structural health monitoring เพื่อติดตามความมั่นคงของอาคารเป็นรายหลังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเฝ้าระวังอาคารเสี่ยงในเมืองใหญ่ รวมถึงการวางแผนซ่อมแซมหรือเสริมความแข็งแรงเชิงล่วงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. การกัดเซาะชายฝั่งและการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ
ข้อมูลจากดาวเทียมมีบทบาทสำคัญในการติดตามการเปลี่ยนแปลงแนวชายฝั่งของประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประสบปัญหาการกัดเซาะจากคลื่นทะเลเป็นประจำทุกปี ภาพถ่ายจากดาวเทียมสามารถแสดงแนวโน้มการถอยร่นของชายฝั่งในช่วงเวลาต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถจำลอง (simulate) และพยากรณ์ (forecast) การเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างแม่นยำ
ข้อมูลเหล่านี้ยังช่วยระบุ “จุดวิกฤต” ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งควรได้รับการฟื้นฟูโดยเร่งด่วน หรือใช้เป็นหลักฐานเชิงพื้นที่ในการกำหนดนโยบายเชิงป้องกัน เช่น การออกแบบโครงสร้างป้องกันชายฝั่ง การจำกัดการใช้ที่ดินในเขตเสี่ยง และการวางผังพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน เพื่อป้องกันการสูญเสียพื้นที่ดินอย่างถาวรในระยะยาว
6. เมืองขยายตัวและการจัดการพลังงาน
ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมในเวลากลางคืน (nighttime light) เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสะท้อนภาพรวมของการใช้แสงสว่างทั่วประเทศ ซึ่งสามารถนำมาใช้วิเคราะห์แนวโน้มการขยายตัวของเขตเมือง พฤติกรรมการใช้พลังงาน รวมถึงการตรวจสอบจำนวนประชากรแฝงในแต่ละพื้นที่
ข้อมูลดังกล่าวช่วยให้สามารถประเมินได้ว่าพื้นที่ใดมีความหนาแน่นของการอยู่อาศัยและกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประกอบการวางแผนผังเมือง การคำนวณความต้องการพลังงานไฟฟ้าในอนาคต รวมถึงการออกแบบระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น น้ำประปา การคมนาคม และการจัดสรรที่ดิน เพื่อรองรับการเติบโตของเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ทั้งนี้ การรับมือกับภัยพิบัติไม่ได้จบเพียงแค่การเฝ้าระวัง แต่ต้องขยายไปถึงการออกแบบเมืองที่ “อยู่กับภัย” ได้อย่างยั่งยืน GISTDA ย้ำว่าหัวใจของการออกแบบเหล่านี้คือ "ข้อมูลจริง" โดยเฉพาะข้อมูลเชิงเวลา (time-series data) ที่สามารถนำไปวิเคราะห์ย้อนกลับ หาต้นตอของปัญหา และออกแบบโซลูชันที่ตอบโจทย์เฉพาะเมือง เช่น บางเมืองมีปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก บางเมืองเสี่ยงดินถล่ม บางเมืองขยายตัวเร็วจนทรัพยากรไม่พอรองรับ
หนึ่งในโครงการล่าสุดคือ Digital Twin Platform ซึ่งใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมผสมผสานกับแบบจำลองสามมิติ (3D Building) ของทั้งประเทศ ประชาชนและหน่วยงานสามารถเข้าถึงเพื่อดูแนวโน้มจำลองสถานการณ์ล่วงหน้า เช่น พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม การเคลื่อนตัวของอาคาร หรือการวางแผนผังเมืองในอนาคตอย่างแม่นยำ
กล่าวโดยสรุปแล้ว ข้อมูลจากดาวเทียมได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเปลี่ยน “การรับมือภัยพิบัติแบบเชิงรับ” ไปสู่ “การวางแผนเชิงรุก” ไม่เพียงแต่สร้างความปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เมืองเติบโตได้อย่างยั่งยืน สะท้อนจากแนวคิด Smart City และ Resilient City ที่ไม่ใช่เพียงคำขวัญ แต่เป็นภารกิจที่สามารถลงมือทำได้จริง ด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน และใช้ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ