Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
Spot On: สิงคโปร์ เมืองทรัพยากรธรรมชาติน้อย แต่โตได้ด้วยทรัพยากรมนุษย์
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

Spot On: สิงคโปร์ เมืองทรัพยากรธรรมชาติน้อย แต่โตได้ด้วยทรัพยากรมนุษย์

16 มิ.ย. 68
14:07 น.
แชร์

สาธารณรัฐสิงคโปร์ เป็นประเทศเกาะขนาดเล็ก มีพื้นที่เพียง 728.6 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น หากเปรียบเทียบก็ไม่ใหญ่ไปกว่ากรุงเทพฯ เสียด้วยซ้ำ ขนาดจำกัด ซ้ำยังห้อมล้อมด้วยน้ำทะเล ทำให้สิงคโปร์มีข้อจำกัดมากมาย และแทบไม่มีทรัพยากรธรรมชาติในประเทศเลย ไม่มีน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ แร่ธาตุ และสิ่งที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตอย่างน้ำจืด ด้วยตัวประเทศสิงคโปร์ก็ขาดแคลนมาก

ช่วงระยะแรกของการสร้างชาติ สิงคโปร์เผชิญปัญหาด้านทรัพยากรน้ำมาก อาทิ การกักเก็บน้ำฝนมีพื้นที่จำกัด มีภัยแล้ง น้ำท่วม และมลพิษทางน้ำมาเป็นมารผจญความลำบากที่เดิมทีก็มากอยู่แล้ว แต่ความท้าทายในยุคต้น ก็เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้สิงคโปร์วางรากฐานการจัดการน้ำที่เหมาะสมกับข้อจำกัดของตน ปัจจุบันสิงคโปร์ไม่ใช่แค่หล่อเลี้ยงประชากรเกือบ 6 ล้านคนของตนได้ แต่ยังเป็นหนึ่งในประเทศต้นแบบด้านการจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ

Spotlight พาไปดูการสร้างเมืองของสิงคโปร์ ซึ่งถึงแม้จะมีข้อจำกัดเรื่องทรัพยากรทางธรรมชาติขนาดไหน แต่เมื่อทรัพยากรมนุษย์มีคุณภาพมากพอ ปัญหาต่าง ๆ ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยดี

4 ก็อกแห่งชาติ 4 National Taps

4 National Taps คือแนวทางการจัดการน้ำของรัฐบาลสิงคโปร์ ที่ทำให้สิงคโปร์สามารถมีน้ำ ต่อไปนี้คือข้อมูลการจัดการน้ำแต่ละด้านที่ประเทศเกาะขนาดเล็กแห่งนี้ใช้เฉลี่ยราว 440 ล้านแกลลอนต่อวัน หรือราว 663.6 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ให้คนในประเทศใช้ได้ (ข้อมูลจากกระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมสิงคโปร์)

1. น้ำนำเข้า ส่งตรงจากมาเลเซีย

วิธีการแรกคือการนำเข้าน้ำจากมาเลเซีย ซึ่งเป็นสัดส่วนราวครึ่งหนึ่งของน้ำที่คนสิงคโปร์ใช้ น้ำส่วนมากที่สิงคโปร์นำเข้าจากมาเลเซียมาจากรัฐยะโฮร์ สูบโดยตรงจากแม่น้ำยะโฮร์ผ่านท่อ ที่สิงคโปร์สามารถสูบได้สูงสุด 250 ล้านแกลลอนต่อวัน ภายใต้ข้อตกลงปี 1962 ซึ่งกำหนดให้สิงคโปร์ต้องจ่ายเงิน 2 เซ็นต์สิงคโปร์ต่อ 1,000 แกลลอน และสิงคโปร์ต้องส่งน้ำบำบัดแล้วกลับให้รัฐยะโฮร์ 2% ของน้ำที่สูบได้


ความจริงแล้วนั้น ข้อตกลงแบ่งน้ำ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นใหม่ แต่อยู่ในข้อตกลงการแยกประเทศ (Separation Agreement) ที่ลงนามในปี 1965 และได้รับการรับรองโดยมาเลเซีย จัดตั้งให้สิงคโปร์เป็นรัฐเอกราชและมีอธิปไตย ข้อตกลงที่ลงนามในปี 1961 นั้นระบุว่า สิงคโปร์มีสิทธิสูบน้ำ “ไม่จำกัด” จากแม่น้ำเตบรา (Tebrau) และสกูได (Scudai) และแลกเปลี่ยนด้วยการให้สิงคโปร์จัดหาน้ำที่ผ่านการบำบัดให้กับยะโฮร์ในสัดส่วน 12% ของน้ำที่เรานำเข้า

ที่บริเวณแม่น้ำยะโฮร์ มีอ่างเก็บน้ำหลิงจิ่ว (Linggiu Reservoir) ซึ่งสร้างโดย PUB (Public Utilities Board–สำนักงานพัฒนาสิ่งแวดล้อมและน้ำแห่งสิงคโปร์) ภายใต้ข้อตกลงปี 1990 อ่างเก็บน้ำแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณต้นน้ำของโรงงานผลิตน้ำแม่น้ำยะโฮร์ มีหน้าที่ปล่อยน้ำลงสู่แม่น้ำยะโฮร์เพื่อเสริมการไหลของน้ำ ช่วยให้สามารถสูบน้ำดิบจากโรงงานผลิตน้ำแม่น้ำยะโฮร์ได้อย่างมั่นคง อ่างเก็บน้ำหลิงจิ่วปัจจุบันดำเนินการโดย PUB มาตั้งแต่ปี 1990 และจะหมดอายุในปี 2061

อ่างเก็บน้ำหลิงจิ่วเป็นอ่างเก็บน้ำควบคุมการไหลของน้ำ ในช่วงที่อากาศแห้งหรือช่วงน้ำทะเลหนุน จะมีน้ำทะเลไหลย้อนเข้าสู่แม่น้ำยะโฮร์มากขึ้น น้ำฝนที่เก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำหลิงจิ่วจะถูกปล่อยลงสู่แม่น้ำยะโฮร์ เพื่อเสริมการไหลของแม่น้ำหรือเพื่อดันน้ำทะเลกลับออกไป ซึ่งช่วยให้สามารถสูบน้ำดิบจากแม่น้ำยะโฮร์ได้อย่างมั่นคง

น้ำที่ส่งมาจากต่างประเทศสามารถมอบน้ำได้มากถึง 50% ของน้ำที่ชาวสิงคโปร์ใช้ เป็นแหล่งน้ำที่ใหญ่ที่สุด อ้างอิงข้อมูลสัดส่วนน้ำจาก https://www.bestinsingapore.co

2. NEWater น้ำใหม่ บำบัดจากน้ำใช้แล้ว

การบำบัดน้ำเสีย NEWater คือการบำบัดน้ำรีไซเคิล เปลี่ยนน้ำเสียให้กลายเป็นน้ำคุณภาพสูง ซึ่งนับเป็นน้ำมากที่สุดถึง 40% ที่ชาวสิงคโปร์ใช้ ปัจจุบันสิงคโปร์มีโรงงาน NEWater ที่ดำเนินการอยู่ทั้งหมด 4 แห่ง

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1970 รัฐบาลสิงคโปร์เริ่มการศึกษาความเป็นไปได้ในการบำบัดน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ แต่พบว่ามีข้อจำกัดด้านต้นทุนและความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยีในสมัยนั้น จนเวลาล่วงมาถึงทศวรรษ 1990 มีเทคโนโลยีใหม่ชนิดหนึ่งเรียกว่า เทคโนโลยีเยื่อกรอง (membrane technology) ที่ได้รับการพัฒนาจนสามารถใช้งานได้ดี และมีประเทศอื่น เช่น สหรัฐฯ ใช้งานเทคโนโลยีนี้เช่นกัน

หลังผ่านการทดสอบ สิงคโปร์สร้างโรงงานต้นแบบขนาดใหญ่ที่สามารถผลิตน้ำได้วันละ 10,000 ลูกบาศก์เมตร น้ำเกิดใหม่นี้เรียกว่า NEWater

NEWater ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันผ่านกระบวนการ 3 ขั้นตอนคือ ไมโครฟิลเตรชัน, รีเวอร์สออสโมซิส และการฆ่าเชื้อ โดยใช้เทคโนโลยีเมมเบรนขั้นสูง ผ่านการทดสอบทางวิทยาศาสตร์กว่า 150,000 ครั้ง มีคุณภาพน้ำผ่านเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) และสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา (USEPA)

NEWater มักถูกใช้งานในภาคอุตสาหกรรมและการทำความเย็นด้วยเครื่องปรับอากาศในโรงงานผลิตเวเฟอร์ พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และอาคารพาณิชย์ต่าง ๆ

สำหรับการดื่ม PUB แนะนำว่าควรใช้การบริโภคทางอ้อม (indirect potable use) ซึ่งหมายถึงการนำน้ำ NEWater ไปผสมกับแหล่งน้ำดิบในอ่างเก็บน้ำ หลังจากนั้นน้ำที่ผสมแล้วจะผ่านกระบวนการปรับตัวตามธรรมชาติ หลังจากนั้นจะถูกส่งต่อไปบำบัดเพิ่มในโรงงานผลิตน้ำแบบดั้งเดิมเพื่อให้กลายเป็นน้ำดื่มใสสะอาด

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของการบำบัดน้ำ NEWater คือน้ำเสียจากภาคอุตสาหกรรม หากมีสารบางชนิดเข้มข้นเกินกว่ากำหนดอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของโรงบำบัดน้ำเสีย รัฐบาลสิงคโปร์จึงเฝ้าระวังและตรวจสอบน้ำเสียจากภาคอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด มีพระราชบัญญัติระบบระบายน้ำและท่อระบายน้ำ และข้อบังคับเรื่องน้ำเสียจากอุตสาหกรรม (Trade Effluent Regulations) กำกับ


3. เปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำจืด

การแยกเกลือออกจากน้ำทะเล (Desalination) เป็นกระบวนการผลิตน้ำให้ได้มากสุด 30% ของปริมาณน้ำที่คนสิงคโปร์ใช้ เป็นกระบวนการที่ใช้พลังงานสูง โดยเป็นกระบวนการที่ผลิตน้ำดื่มบริสุทธิ์จากน้ำทะเลด้วยการดันน้ำผ่านเยื่อกรอง (membranes) เพื่อขจัดเกลือและแร่ธาตุที่ละลายอยู่ในน้ำ


ปัจจุบันสิงคโปร์ใช้เทคโนโลยีรีเวอร์สออสโมซิส (reverse osmosis) สำหรับการแยกเกลือออกจากน้ำทะเล ซึ่งต้องใช้พลังงานประมาณ 3.5 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อการผลิตน้ำ 1 ลูกบาศก์เมตร เพื่อให้น้ำทะเลสามารถดื่มได้

PUB กำลังค้นคว้าและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อหาวิธีลดการใช้พลังงานในกระบวนการนี้ เพื่อให้การผลิตน้ำจากการแยกเกลือออกจากน้ำทะเลมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

โรงแยกเกลือแห่งแรกของสิงคโปร์คือ SingSpring Desalination Plant เปิดตัวในเดือนกันยายน 2005 ปัจจุบันมีโรงแยกเกลืออยู่ในสิงคโปร์ 5 แห่ง

อย่างไรก็ตาม การผลิตน้ำจืดแบบนี้ใช้พลังงานมาก รัฐบาลสิงคโปร์จึงพยายามค้นคว้าวิจัยวิธีการแยกเกลือออกจากน้ำที่ใช้พลังงานน้อยลง เช่น Electrodeionisation และ Biomimicry และการเฝ้าระวังคุณภาพของน้ำทะเลรอบบริเวณโรงงานกลั่นน้ำทะเลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าโรงงานเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลน้อยที่สุด

4. เก็บน้ำฝน แม้พื้นที่น้อย

อย่างที่กล่าวไปว่า สิงคโปร์มีทรัพยากรน้ำตามธรรมชาติน้อยมาก การกักเก็บน้ำฝนจึงมีสัดส่วนอย่างมากเพียง 10% ของน้ำที่ประชาชนชาวสิงคโปร์ใช้ แม้สิงคโปร์จะมีปริมาณน้ำฝนถึง 2,340 มิลลิเมตรต่อปี แต่สิงคโปร์มีพื้นที่การกักเก็บน้ำฝนจำกัด

อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์มีอ่างเก็บน้ำ 17 แห่งที่มีความจุน้ำรวม 100 ล้านคิวบิกเมตร ที่รองรับน้ำฝนผ่านเครือข่ายของแม่น้ำ คลอง และท่อระบายน้ำ แหล่งกักเก็บน้ำนี้กินพื้นที่ผืนดินสิงคโปร์ไปถึง 2 ใน 3

การรักษาความสะอาดและป้องกันมลพิษทางน้ำ


เนื่องจากเคยเผชิญปัญหามลภาวะทางน้ำในอดีต สิงคโปร์จึงมีแนวทางการรักษาความสะอาดด้วยวิธีต่าง ๆ อย่างการใช้ทุ่นดักขยะและกับดักเศษขยะ เพื่อป้องกันไม่ให้ขยะไหลลงสู่อ่างเก็บน้ำ

สำหรับอ่างเก็บน้ำ มีมาตรการในการรักษาความสะอาดคือ การสร้างกำแพงใต้ดินตามแนวพื้นที่หลุมฝังกลบขยะเก่า ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของตลิ่งอ่างเก็บน้ำ กำแพงนี้มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้น้ำที่ปนเปื้อนจากหลุมฝังกลบซึมลงสู่อ่างเก็บน้ำ น้ำเสียจะถูกรวบรวมและบำบัด ณ จุดกำเนิดผ่านแปลงต้นกกและบ่อบำบัดที่ออกแบบเป็นพิเศษ ก่อนจะถูกปล่อยเข้าสู่ระบบบำบัดน้ำเสีย

รัฐบาลสิงคโปร์ยังเน้นย้ำว่า การรักษาทรัพยากรน้ำในประเทศไม่ใช่เพียงเรื่องของรัฐบาล แต่ต้องการความร่วมมือจากภาคเอกชน และประชาชน เพื่อส่งสริมการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

หากคุณผู้อ่านสนใจประเด็นการสร้างเมืองยั่งยืน Spotlight ชวนร่วมงานสัมมนา “Creating Sustainable City สร้างเมืองยั่งยืน เพื่อชีวิตยืนยาว” ซึ่งจะจัดขึ้นวันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00 - 12.30 น. ณ ห้อง Auditorium C Asean อาคาร CW Tower ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ทั้งนี้ สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานล่วงหน้าได้ฟรี (คลิกที่นี่)

ที่มา: MSE

, PUB

แชร์
Spot On: สิงคโปร์ เมืองทรัพยากรธรรมชาติน้อย แต่โตได้ด้วยทรัพยากรมนุษย์