
งานประชุมด้านสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่ที่สุดในโลก COP30 เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 และจะดำเนินการเป็นเวทีพูดคุยด้านสิ่งแวดล้อมต่อเนื่องจนถึงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2025 ขณะนี้การประชุมดำเนินมาเกินครึ่งทาง เกิดผลสำเร็จอะไรไปแล้วบ้าง
Spotlight สรุป 3 ด้านสำคัญที่ถูกพูดถึงในเวทีสิ่งแวดล้อม COP30 ได้แก่ ด้านการปรับเปลี่ยนนโยบายด้านสุขภาพ เน้นการเฝ้าระวังและติดตาม, ความสำคัญของกระแสทุนเพื่อเปลี่ยนแปลง และผลกระทบหากลงทุนไม่มากพอ, รวมไปถึงเรื่องการเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารงานในระดับต่าง ๆ หลากหลาย
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2025 บราซิลเปิดตัวแผนรับมือการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศฉบับแรก Belém Health Action Plan to support the health sector’s adaptation to climate change มุ่งเน้นการปรับตัวด้านสุขภาพที่สามารถพัฒนาได้ผ่านการสร้างนโยบายการเฝ้าระวังและติดตาม การเพิ่มขีดความสามารถด้านนวัตกรรม
แผนการฉบับนี้เป็นแผนการระดับนานาชาติฉบับแรกที่ระบุเรื่องสุขภาพและสภาพอากาศอย่างชัดเจน ระบุการดำเนินงานแต่ละขั้นสำหรับประเทศต่าง ๆ เพื่อแก้ไขผลกระทบที่ปัจจุบันเห็นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มเปราะบางที่เป็ยผู้รับผลกระทบมากที่สุด และบราซิลเสนอตัวเป็นแนวหน้าในเวทีอภิปรายเรื่องผลกระทบทางสุขภาพ โดยมีประเทศต่าง ๆ ร่วมกับตัวแทนระหว่างชาติกว่า 80 ชาติในแผนงานนี้ ซึ่งอานา โทนี ผู้อำนวยการ COP30 ชี้ว่าเป็นก้าวสำคัญมาก
ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า “วิกฤตสิ่งแวดล้อมหมายถึงวิกฤตด้านสุขภาพ” และส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขของประเทศต่าง ๆ โดยตรง ทั้งยังกล่าวว่า การปรับตัวด้านสุขภาพได้ถูกกล่าวถูกแล้วในข้อตกลงปารีส และตอนนี้ต้องปฏิบัติกันอย่างจริงจัง
ก้าวแรกของแผนการนี้คือการลงทุน The Climate and Health Funders Coalition ซึ่งเป็นเครือข่ายที่รวมเอาองค์กรการกุศลจาก 35 ประเทศมารวมตัวกัน ประกาศสนับสนุนเงินลงทุน 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กับแผนการระหว่างชาติครั้งนี้
เงินลงทุนจะช่วยพัฒนาการศึกษาค้นคว้า ทำวิจัย เขียนนโยบาย สนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพ เร่งแก้ไขปัญหาสุขภาพจากความร้อน มลภาวะทางอากาศที่อาจนำไปสู่การติดเชื้อ
แผนการนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของวาระปฏิบัติการ COP30 (COP30 Action Agenda) ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ข้อที่ 16 ที่มุ่งส่งเสริมระบบสาธารณสุขให้มีความยืดหยุ่นทนทานต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ แผนนี้ยังตอบสนองโดยตรงต่อข้อบทที่ 7 ของความตกลงปารีส ซึ่งกำหนดเป้าหมายโลกด้านการปรับตัว (Global Goal on Adaptation) และโครงการทำงาน UAE–Belém Work Programme ที่พัฒนาขึ้นตั้งแต่ COP28 อีกด้วย
ในวงสนทนาด้านการเงิน มีการนำเสนอรายงานของ Circle of Finance Ministers ตอกย้ำความสำคัญของภาคการเงินซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการรับมือปัญหาวิกฤตสภาพอากาศ
รายงานชี้ว่า แม้ประเทศพัฒนาแล้วจะเคยให้คำมั่นสัญญา ช่วยเหลือเงินทุนประเทศกำลังพัฒนาและประเทศยังไม่พัฒนาในการรับมือผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แต่การขาดแคลนเงินทุนยังคงเป็นอุปสรรคหลักในการจัดการปัญหาดังกล่าวอยู่ดี
ตามรายงานของสหประชาชาติ หากไม่มีเงินทุนที่เพียงพอสำหรับพลังงานสะอาดและโครงการที่อาศัยธรรมชาติในประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา (EMDEs) เป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่กำหนดไว้ในความตกลงปารีสก็จะไม่สามารถบรรลุได้
รายงานยังเน้นย้ำว่า เส้นกระแสเงินทุนส่วนใหญ่ ยังคงไหลเวียนไปสู่ประเทศพัฒนาแล้ว
“กระแสเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลกสำหรับทุกประเทศเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวภายในสามปี แต่มีเพียงประมาณ 10% เท่านั้นที่ไปยังประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา (EMDCs) และน้อยกว่า 5% ที่มุ่งสู่การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ และมูลค่าความต้องการเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลกขั้นต่ำ ที่อยู่ที่ 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังมากกว่ากระแสเงินทุนปัจจุบันถึง 3 เท่า” รายงานระบุ
รายงานเสนอว่า ประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาต้องลงทุนอย่างน้อย 2.4 ล้านล้านดอลลลาร์สหรัฐต่อปีภายในปี 2030 และจากนั้นลงทุนที่3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีจนกว่าจะถึงปี 2035 จึงจะเพียงพอต่อความต้องการในการเปลี่ยนสู่พลังงานสะอาด, การฟื้นและตอบสนองต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากวิกฤตสภาพอากาศได้
แต่ประเทศ EMDEs ดำเนินการเองเป็นไปได้ยาก รายงานจึงเรียกร้องให้ประเทศพัฒนาแล้วเพิ่มระดับการสนับสนุนประเทศตลาดเกิดใหม่และกำลังพัฒนาเหล่านี้ รวมถึงการสนับสนุนเงินทุนจากทุกแหล่ง ทั้งรัฐและเอกชน ในและนอกประเทศ
อย่างไรก็ตาม ข่าวดีจากรายงานคือ พลังงานสะอาดนั้นมีต้นทุนน้อยกว่าพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
“จากการวิเคราะห์ของ IEA และ IRENA เทคโนโลยีพลังงานสะอาดมีต้นทุนถูกกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลในหลายภูมิภาคแล้ว กว่า 91% ของโครงการพลังงานหมุนเวียนใหม่ในปี 2024 มีต้นทุนแข่งขันน้อยกว่าพลังงานฟอสซิล โดยเฉพาะพลังงานลมบนบกและพลังงานแสงอาทิตย์” รายงานกล่าว
รายงานฉบับนี้ยังตอกย้ำความคืบหน้าด้านพลังงานหมุนเวียน ชี้ว่า ปีนี้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้แทนที่ถ่านหินและก๊าซที่ใช้เพื่อผลิตไฟฟ้า ส่งผลให้ระบบไฟฟ้าประหยัดค่าเชื้อเพลิงไปได้ราว 467,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยืนยันว่า พลังงานหมุนเวียนเป็นแหล่งพลังงานใหม่ที่มีต้นทุนต่ำที่สุด โดยราคาของแบตเตอรีลดลงเกือบ 90%
พลังงานหมุนเวียนยังมีแนวโน้มจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ดีกว่าพลังงานฟอสซิลอีกด้วย รายงานชี้ว่า พลังงานหมุนเวียนจะกระตุ้นอัตราการลงทุนได้ราว 1-2% GDP ในเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว และมากถึง 3-5% ของ GDP ในกลุ่มประเทศ EMDCs และเพิ่มตำแหน่งงานสีเขียวได้อีกหลายล้านตำแหน่ง
แล้วหากไม่ทำล่ะ? รายงานระบุว่า หากเรายังดำเนินนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศในลักษณะนี้ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เพิ่มการลงทุนภายในปี 2050 GDP โลกในฉากทัศน์นั้นอาจต่ำกว่า GDP ของโลกที่ไม่มีวิกฤตสภาพภูมิอากาศถึง 15% และหากโลกเรามีอุณหภูมิสูงกว่ายุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม 3 องศาเซลเซียสแล้ว ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า เราอาจสูญเสีย GDP ถึง 30%
ระหว่างการประชุม High-Level Ministerial Panel – Multilevel Governance for the Implementation of the Paris Agreement and Climate Strategies มีการประกาศแผนการทำงานของรัฐบาลบราซิลในชื่อ Multilevel Governance Solutions Acceleration Plan (PAS) เป็นการสร้างสถาบันใหม่เพื่อความร่วมมือด้านสภาพภูมิอากาศโลกในหน่วยงานปกครองหลายระดับ เพื่อให้การดำเนินงานตามข้อตกลงปารีสเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
มารินา ซิลวา รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของบราซิลเน้นย้ำว่า อีกข้อสำคัญที่เราต้องการในการแก้ไขปัญหาสภาพอากาศคือ การปรับเปลี่ยนโมเดลการบริหารงาน
“การปกครองหลายระดับไม่ใช่แค่เรื่องของการประสานงานเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของบทบาทหน้าที่ และการแบ่งปันความรับผิดชอบระหว่างผู้เกี่ยวข้องที่หลากหลายในภาคส่วนต่าง ๆ การบริหารจัดการจึงจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
อินามารา เมโล ผู้ประสานงานทั่วไปด้านการปรับตัวจากสำนักเลขาธิการแห่งชาติด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกล่าวถึงเสาหลักของแผน PAS ว่า คือการบูรณาการนโยบายระดับชาติและระดับภูมิภาค โดยต้องมียุทธศาสตร์ระดับชาติโดยเฉพาะ
“สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องเสริมสร้างยุทธศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศระดับชาติ เพื่อให้เกิดการบูรณาการหลายระดับที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงาน กระบวนการนี้ต้องอาศัยกรอบธรรมาภิบาลที่ครอบคลุม ซึ่งเอื้อต่อการถ่ายทอดข้อมูลและเทคโนโลยี แนวทางดังกล่าวจะช่วยให้เมืองและรัฐมีข้อมูลที่เพียงพอสำหรับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ และเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงเงินทุนได้” เธอกล่าว
3 หัวข้อนี้คือส่วนหนึ่งในการเจรจาหลายเวที ซึ่งมีตั้งแต่การเจรจา ประชุม และนำเสนอนโยบายทั้งระดับโลก ภูมิภาค และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเท่านั้น และยังมีอีกหลายหัวข้อที่ยังรอการตัดสินใจในอีกครึ่งหลังของการประชุม ที่จะดำเนินต่อเนื่องถึงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2568