5 มิถุนายนของทุกปีคือวันสิ่งแวดล้อมโลก วันที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติสถาปนาไว้ตั้งแต่ปี 1972 เพื่อดึงความสนใจของคนทั่วโลกให้หันมาแบ่งปันความสนใจไปที่ประเด็นสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม สำหรับปี 2568 ประเด็นประจำปีอาจจะเล็กสักนิด จนหลายคนมองไม่เห็นเสียด้วยซ้ำ นั่นคือ ไมโครพลาสติก
ไมโครพลาสติกคืออนุภาคพลาสติกขนาดจิ๋ว เล็กกว่า 5 มิลลิเมตร ย่อยสลายยาก และคงทนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในทะเลและมหาสมุทร ทั้งยังใช้พลังความเล็กจิ๋วแทรกซึมเข้าไปในส่วนต่างๆ ของโลกได้ ไม่เว้นแม้แต่ร่างกายมนุษย์
การแบ่งประเภทของไมโครพลาสติกสามารถแบ่งได้หลายแบบ แต่หากแบ่งตามกำเนิดของมันแล้ว สามารถแยกเป็น 2 ชนิดได้ดังนี้:
ไมโครพลาสติกจากโฟม (foamed microplastics) มาจากวัสดุกันกระแทกหรือฉนวนที่มีลักษณะเบาเป็นโฟม เมื่อเวลาผ่านไปก็แตกตัวสลายเป็นชิ้นเล็กๆ
นอกจากนี้ยังมี ไมโครไฟเบอร์ (microfiber) หรือเส้นใยพลาสติกที่หลุดออกมาจากเสื้อผ้าใยสังเคราะห์ เช่น โพลีเอสเตอร์ (polyester), ไนลอน (nylon) และอะคริลิก (acrylic) ซึ่งไมโครไฟเบอร์นี้เอง เป็นไมโครพลาสติกที่พบในแหล่งน้ำได้มากที่สุด มักมาจากการซักผ้า
หรือจริงๆ แล้วคำถามควรจะเป็น “ไมโครพลาสติกไม่ทำร้ายใครบ้าง?” เพราะถึงแม้ว่าไมโครพลาสติกจะมีขนาดเล็ก แต่มันกลับสร้างอันตรายใหญ่หลวง และความเล็กจิ๋วกลับเป็นใบอนุญาตให้มันสอดแทรกเข้าไปได้ในหลายพื้นที่มากยิ่งขึ้น
พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเป็นพิเศษคือระบบนิเวศทางทะเล ตัวอย่างหนึ่งจากสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่า ศูนย์บริการอุทยานแห่งชาติ มหาวิทยาลัย Clemson และ NOAA เก็บตัวอย่างเศษตะกอนจากชายหาดในอุทยานแห่งชาติ 37 แห่ง และพบว่า ตะกอนจากชายหาดทุกแห่งมีไมโครพลาสติก โดย 97% เป็นไมโครไฟเบอร์ นอกจากนี้ยังพบ microplastic fragments ในกว่า 15 หาด และ microbeads ใน 6 หาด ในทราย 1 กิโลกรัมมีไมโครพลาสติกราว 21.3–221.3 ชิ้น
ไมโครพลาสติกลงไปในแหล่งน้ำได้อย่างไร? หนึ่งในช่องทางคือการปล่อยน้ำใช้ลงทะเล ซึ่งพาเอาเศษพลาสติกขนาดเล็กลงไปด้วย มีงานวิจัยคาดการณ์ว่า ในแต่ละปี มีพลาสติกกว่า 12 ล้านเมตริกตันถูกส่งตรงลงมหาสมุทร และพลาสติกเหล่านั้นจะค่อยๆ แตกตัวออกเป็นไมโครพลาสติก
อีกงานวิจัยหนึ่งระบุว่า ปัจจุบันมีไมโครพลาสติกมากถึง 358 ล้านล้านชิ้นลอยอยู่บนผิวน้ำของมหาสมุทรทั่วโลก และยังมีอีกจำนวนมหาศาลที่อยู่ในส่วนลึกของทะเล
สิ่งมีชีวิตในทะเลอาจกินไมโครพลาสติกเข้าไปด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นอาหาร พลาสติกชิ้นเล็กเหล่านี้อาจสะสมในระบบทางเดินอาหารของสัตว์ทะเล ทำให้เกิดภาวะ “อิ่มปลอม” (false satiety) กินอาหารจริงได้น้อยลง พลาสติกยังอาจสร้างบาดแผลในอวัยวะภายใน หรือส่งผลต่อการเจริญพันธุ์
งานวิจัยปี 2022 พบไมโครพลาสติกในหอยแมลงภู่บริเวณชายฝั่งออสเตรเลีย ซึ่งยืนยันผลการศึกษาก่อนหน้านี้ที่สรุปว่า “ถ้าคุณกินหอยแมลงภู่ คุณก็กินไมโครพลาสติกเข้าไปด้วย”
ปัจจุบันมีการประเมินว่า เศษขยะพลาสติกในทะเลเป็นสาเหตุการตายของนกทะเลมากกว่าหนึ่งล้านตัวต่อปี และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลมากกว่า 100,000 ตัว ตามรายงานของยูเนสโก
มนุษย์ไม่รอดพ้นจากภัยไมโครพลาสติกเช่นเดียวกัน แม้การศึกษาผลกระทบโดยตรงของไมโครพลาสติกในร่างกายมนุษย์ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น แต่รายงานปี 2024 ชี้ว่า ไมโครพลาสติกอาจเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวาย เส้นเลือดในสมองแตก หรือถึงแก่ชีวิตได้ ผู้เชี่ยวชาญบางคนถึงกับกล่าวว่า มนุษย์กำลังเผชิญกับ “วิกฤตพลาสติก”
ไมโครพลาสติกสามารถเข้าสู่ร่างกายเราได้หลายวิธี งานวิจัยหนึ่งเผยว่า ตัวอย่างอาหารทะเลในสหรัฐฯ กว่า 98.9% มีไมโครพลาสติกปนเปื้อน รายงานปี 2019 ที่ตรวจผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันของชาวอเมริกันพบว่า โดยเฉลี่ย คนเรารับเอาไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกายราว 78,000 - 211,000 ชิ้นต่อปี
มากที่สุดพบในขวดน้ำดื่ม — ถึง 94.37 กรัม/ลิตร ตามมาด้วยเบียร์ 32.27 กรัม อากาศ 9.8 กรัม น้ำจากก็อกน้ำ 4.24 กรัม และจากอาหารทะเล 1.48 กรัม
ยังพบไมโครพลาสติกในอาหารอื่นๆ เช่น น้ำผึ้ง ชา และน้ำตาล รวมถึงผักผลไม้อีกด้วย แม้การรับไมโครพลาสติกผ่านการกิน (ingestion) จะเป็นเส้นทางหลัก แต่ปัจจุบันมีหลักฐานเพิ่มขึ้นว่ามนุษย์สามารถสูดดมไมโครพลาสติกผ่านอากาศได้เช่นกัน
ผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอที่เกี่ยวข้องกับเส้นใยสังเคราะห์มีความเสี่ยงเป็นพิเศษ อาจเกิดโรคปอดและทางเดินหายใจ อีกอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงคือเกษตรกรรม เนื่องจากพบไมโครพลาสติกในปุ๋ย โดยเฉพาะปุ๋ยหมัก ที่อาจฝังตัวในดินได้นานถึง 15 ปีก่อนจะลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ
อนุภาคไมโครพลาสติกเล็กมากจนสามารถผ่านเครื่องกรองน้ำได้ แพร่กระจายในชั้นบรรยากาศ และเดินทางข้ามซีกโลกได้ มีการตรวจพบชิ้นส่วนไมโครพลาสติกในปอด เลือด ตับ หรือแม้กระทั่งข้อต่อ และยังมีหลักฐานว่าไมโครพลาสติกสามารถเข้าสู่สมองของเราได้
งานวิจัยล่าสุดชี้ว่า ไมโครพลาสติกกำลังสะสมอย่างรวดเร็วในสมอง รายงานจาก The New England Journal of Medicine ระบุว่า ไมโครพลาสติกในร่างกายมนุษย์สามารถเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวาย เส้นเลือดในสมองแตก การติดเชื้อ และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้
การทดลองกับหนูพบว่า ไมโครพลาสติกสามารถเคลื่อนผ่านเข้าสู่สมองและอุดตันเส้นเลือดได้ แม้นักวิจัยจะระบุว่ายังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าเหตุการณ์เดียวกันจะเกิดขึ้นกับมนุษย์หรือไม่ แต่ก็เตือนว่า ผลกระทบในระยะยาวอาจรวมถึงโรคทางระบบประสาท เช่น ภาวะซึมเศร้า และปัญหาสุขภาพหัวใจ
รายงานปี 2025 ยังพบว่า ในกลุ่มเด็กที่คลอดก่อนกำหนด มากกว่า 50% พ่อแม่ใช้รถยนต์ที่มีระดับไมโครพลาสติกในอากาศสูงกว่ารถของเด็กที่คลอดตามกำหนด ซึ่งการคลอดก่อนกำหนดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของทารก และยังส่งผลต่อพัฒนาการในระยะยาว
การลดไมโครพลาสติกอาจเริ่มจากการลดใช้สินค้าหรือเวชสำอางที่มีไมโครพลาสติกเป็นส่วนประกอบ เช่น เครื่องสำอางที่มีกลิตเตอร์ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายที่มีเม็ดบีดส์ ลดการใช้ผ้าใยสังเคราะห์ หรือใช้ถุงกรองไมโครไฟเบอร์ แยกขยะอินทรีย์ และไม่นำพลาสติกผสมลงไปกับขยะที่จะนำไปผลิตเป็นปุ๋ย
แม้ขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยลดไมโครพลาสติกในสิ่งแวดล้อมได้เพียงบางส่วน แต่ก็เป็นก้าวเล็กๆ ใกล้ตัว ที่เราสามารถเริ่มทำได้ทันที
สำหรับสเกลที่ใหญ่ขึ้น การลดการใช้ไมโครพลาสติกตั้งแต่กระบวนการผลิตเป็นสิ่งจำเป็น รวมถึงเพิ่มกระบวนการฟิลเตอร์ไมโครพลาสติกก่อนปล่อยมาสู่สิ่งแวดล้อม เช่น จากโรงงานบำบัดน้ำเสีย นอกจากนี้ยังมีกระบวนการทางเคมีย่อยสลายไมโครพลาสติกในกระบวนการรีไซเคิล และกระบวนการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ นอกจากนี้ยังมีกระบวนการทางกายภาพ เช่น ย่อยสลายไมโครพลาสติกให้เล็กลงจนถึงระดับมอนอเมอร์ และตามมาด้วยการใช้จุลินทรีย์ช่วยย่อยสลาย
ที่มา: National Library of Medicine, The New England Journal of Medicine, Ocean Service , We Forum