การเงิน

หุ้นไทยร่วงกว่า 10 จุด หวั่นถูกกระทบนโยบาย-ห่วงจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า

15 พ.ค. 66
หุ้นไทยร่วงกว่า 10 จุด หวั่นถูกกระทบนโยบาย-ห่วงจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า

เมื่อผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการจากการนับคะแนนของกกต.กว่า 99% นำโดยพรรคก้าวไกล ตามด้วยพรรคเพื่อไทย ภาพสะท้อนจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงเปิดตลาด ดัชนีหุ้นไทยเปิดบวก 4 จุด ที่ 1,565.44 จุด เพิ่มขึ้น 4.09%

หลังจากนั้นมีแรงเทขายจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ลงมาต่ำสุดที่ระดับดัชนี 1541.37 จุด ลดลงไป 19.98 จุด หรือ -1.28% และกลับมาปิดตลาดที่ 1,579.54 จุด ลดลง 11.81 จุด หรือ -0.76% จากแรงเขขายหุ้นกลุ่มพลังงานไฟฟ้า หุ้นที่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย และหุ้น ICT เนื่องจากนโยบายของพรรคก้าวไกลจะเข้ามาปรับโครงสร้างพลังงานไฟฟ้า

หุ้น GULF ปรับลดลง 6.19% ราคาหุ้นอยู่ที่ 49.25 บาท/หุ้น

หุ้น GPSC ปรับลดลง 5.18% ราหุ้นอยู่ที่ 59.50 บาท/หุ้น 

หุ้น BGRIM ปรับลดลง 6.33% ราหุ้นอยู่ที่ 37.00 บาท/หุ้น 

หุ้น EGCO ปรับลดลง 2.63% ราหุ้นอยู่ที่ 148.00 บาท/หุ้น 

หุ้น RATCH ปรับลดลง 1.30% ราหุ้นอยู่ที่ 38.00 บาท/หุ้น 

หุ้น SIRI ปรับลดลง 7.41% ราหุ้นอยู่ที่ 1.75 บาท/หุ้น

หุ้น THCOM ปรับลดลง 8.09% ราหุ้นอยู่ที่ 12.60 บาท/หุ้น 

หุ้น ADVACE ปรับลดลง 2.26% ราหุ้นอยู่ที่ 216.00 บาท/หุ้น 

หุ้น TRUE ปรับลดลง 5.23% ราหุ้นอยู่ที่ 7.25 บาท/หุ้น 

โดยบล.กสิกรไทย นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโส เปิดเผยกับ “SPOTLIGHT” ว่า จากที่มีแรงเทขายหุ้นออกมาค่อนข้างมาก เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลเรื่องกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลจะมีความล่าช้า จะส่งผลต่อการงบประมาณการใช้จ่ายของภาครัฐที่จะล่าช้าตามไปด้วย และจากนโยบายเศรษฐกิจของพรรค

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าหุ้นที่มีแรงเทขายจะเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน ไฟฟ้า หุ้นกลุ่ม ICT และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับทางพรรคเพื่อไทย

โดยคาดว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน ซึ่งนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติอยากเห็นรัฐบาลที่มีเสียงข้างมาก และมีเสถียรภาพในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อที่จะไม่ผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ไม่กระทบกับการท่องเที่ยว

สำหรับภาวะตลาดหุ้นช่วงบ่ายวันนี้(15 พ.ค.) จะทรงๆ ตัวอยู่ระดับนี้ แต่มองว่าเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ ประเมินกรอบแนวรับอยู่ที่ 1550 จุด และแนวต้านที่ 1585 จุด แนะนำ ลงทุนหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ ธนาคารพาณิชย์ ค้าปลีก เป็นต้น

ด้านดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอ็กซ์ จำกัด เปิดเผยถึงนโยบายหาเสียงเลือกตั้งด้านเศรษฐกิจที่จะผลต่อการลงทุนในตลาดทุน อาทิเช่น

460740

พรรคก้าวไกล

  1. ลดค่าไฟให้กับประชาชนอย่างน้อย 70 สตางค์/หน่วย จะส่งผลต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน ในเชิงลบ เช่น PTT Group และเชิงบวก เช่น CPALL
  2. ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทุกปี เริ่มต้นวันละ 450 บาท ส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก โรงแรม ร้านอาหารในเชิงลบ  เช่น MINT, ZEN, CENTEL 
  3. เติมเน็ตฟรี 1GB/เดือน จะกระทบกับหุ้นกลุ่มสื่อสารในระยะสั้น แต่ในระยะยาวจะทำให้มีผู้ใช้รายใหม่เพิ่มขึ้น

พรรคเพื่อไทย

  1. แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทให้คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปสำหรับใช้จ่ายใกล้บ้านรัศมี 4 กิโลเมตร ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL, MAKRO, BJC
  2. สร้างเขตเศรษฐกิจใหม่ นำร่อง 4 พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น และหาดใหญ่ ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรท เช่น AMATA, WHA
  3. รถไฟฟ้ากรุงเทพฯ 20 บาทตลอดสาย ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มขนส่ง เช่น BTS BEM และมองว่ารัฐบาลอุดหนุนจะทำให้มีการใช้รถสาธารณะเพิ่มขึ้น เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม นโยบายของพรรคก้าวไกล และพรรคแนวร่วมจัดตั้งรัฐบาลอย่างพรรคเพื่อไทย เป็นนโยบายประชานิยม ซึ่งนโยบายต่างๆ เหล่านี้ เราในฐานะประชาชนคนไทยคงเฝ้ามองและจับตาดูว่า จะมีนโยบายอะไรบ้างที่สามารถทำได้จริง เกิดขึ้นจริง ช่วยเหลือประชาชนได้จริงๆ รวมถึงเรื่องของเสถียรภาพของรัฐบาลชุดนี้ และความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติ

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT