‘มหกรรมลูกจ้างแห่ลาออก-เปลี่ยนงาน’ ยังไม่จบลง ผลสำรวจจาก PwC ที่สำรวจพนักงาน 54,000 คนจากทั่วโลกเผยว่า พนักงานกว่า 1 ใน 4 มีแผนที่จะเปลี่ยนงานในอีก 12 เดือนจากนี้ เพิ่มขึ้นจาก 19% ในปีก่อนหน้า จากแรงกดดันด้านภาระค่าใช้จ่ายรัดตัว ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว และความกดดันจากเงินเฟ้อที่ยังไม่หายไป
ไม่ใช่แค่เพียงเตรียมย้ายที่ใหม่เท่านั้น ผลสำรวจยังระบุว่า พนักงานราว 42% ยังเตรียมที่จะเรียกร้องขอขึ้นเงินเดือนจากบริษัท เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจาก 35% ในปีที่ผ่านมา นอกจากนั้น พนักงานเกือบครึ่ง (46%) ยังเผยว่า พวกเขาต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อให้มีกำลังในการค่าค่ากินใช้ในแต่ละเดือน หรือบางกลุ่มก็ใช้จ่ายไม่พอในแต่ละเดือนด้วยซ้ำ มีเพียง 38% เท่านั้นที่ระบุว่ามีเงินเหลือใช้ในแต่ละเดือน คิดเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าปีที่แล้วถึง 9%
Bhushan Sethi ผู้นำในสายงานด้านองค์กรและบุคคลของ PwC กล่าวว่า “ในภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอนเช่นนี้ เราได้เจอกับพนักงานจากทั่วโลกที่มองหารายได้ที่สูงขึ้น และความหมายของงานที่ทำที่มากขึ้น” ในด้านสิ่งที่องค์กรจะต้องให้ความสำคัญนั้น ‘จุดมุ่งหมาย วัฒนธรรมองค์กร และการเปิดรับคนทุกกลุ่ม’ คือสามสิ่งที่ทุกองค์กรไม่ควรมองข้าม
ในยุคที่รายได้ทางเดียวไม่ตอบโจทย์เช่นทุกวันนี้ หลายคนเลือกที่จะมีงานที่ 2 ที่ 3 เพื่อให้มีรายได้ที่ครอบคลุมรายจ่ายมากขึ้น ผลสำรวจ PwC ฉบับนี้เผยว่า พนักงานราว 1 ใน 5 มีอาชีพเสริม โดยกว่า 69% ทำเพื่อเพิ่มช่องทางรายรับให้มากขึ้น
ผลสำรวจฉบับนี้ยังชี้ให้เห็นว่า พนักงานที่มีปัญหาด้านการเงินนั้น มีความเสี่ยงที่จะพ่ายแพ้ต่อกระแสโลกอย่างเช่น การมาของ AI เพราะขาดทุนทรัพย์ในการปรับตัว พัฒนาทักษะให้เท่าทันต่อความต้องการในตลาดแรงงาน
โดยพนักงงานกว่า 1 ใน 3 จากพนักงานที่เพียบพร้อมด้านกำลังทรัพย์นั้น มองว่า AI จะเข้ามาช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน ในขณะที่ราว 1 ใน 4 คิดว่าการมาของ AI จะทำให้เกิดอาชีพใหม่ๆ ขึ้น ในขณะที่พนักงานเจนใหม่ ได้แก่ เจน Z, มิลเลนเนียล, และผู้คนที่เกิดหลังปี 1981 นั้นคาดหวังที่จะเห็นผลกระทบเชิงบวกของ AI ต่องานของพวกเขาภายใน 5 ปีข้างหน้า
สามารถอ่านผลสำรวจฉบับเต็ม “Hopes and Fears Global Workforce Survey 2023” ได้ที่นี่
ที่มา : Reuters