การเงิน

กูรูคาดเงินบาทสัปดาหนี้33.90-34.65บาท/ดอลลาร์ลุ้นดอลลาร์ฟื้นช่วงสั้น

18 เม.ย. 66
กูรูคาดเงินบาทสัปดาหนี้33.90-34.65บาท/ดอลลาร์ลุ้นดอลลาร์ฟื้นช่วงสั้น

ทิศทางของค่าเงินบาทในช่วงสัปดาห์นี้ (17-21 เม.ย.) นี้ กูรู 2 ราย คาดว่ากรอบความเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันไม่ต่างกันมากนัก วันนี้ SPOTLIGHT จะพามาดูมุมมองถึงทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้กัน

กรุงศรีคาดเงินบาท 33.95-34.65 บาท/ดอลลาร์

โดยน.ส.รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายส่งเสริมธุรกิจโกลบอลมาร์เก็ตส ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.95-34.65 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 34.23 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายแคบๆในช่วง 34.20-34.39 บาท/ดอลลาร์

โดยเงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ โดยดัชนีดอลลาร์แตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 1 ปี ยกเว้นค่าเงินเยนในสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ว่า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเป็นขาลงแม้เงินเฟ้อพื้นฐานยังคงอยู่ในระดับสูง และตามรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 21-22 มี.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ระบุว่า ผู้ดำเนินนโยบายหลายรายกังวลถึงปัญหาในภาคธนาคารจะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย และเจ้าหน้าที่เฟด ได้แสดงความเห็นสนับสนุนการคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไป

โดยสัญญาล่วงหน้าสะท้อนว่า มีความเป็นไปได้ราว 78% ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ค.นี้

ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) ได้ปรับลดแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลงเล็กน้อยเป็นเติบโต 2.8% เนื่องจากดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและภาวะปั่นป่วนในระบบธนาคารเพิ่มความไม่แน่นอนต่อภาคเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่องและผลกระทบจากสงครามในยูเครน ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยสุทธิ 420 ล้านบาท แต่ขายพันธบัตร 3,465 ล้านบาท

กรุงไทยมองค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ 33.90-34.60 บาท/ดอลลาร์

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท “ ประเมินว่า อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า จากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติกว่า 300 ล้านดอลลาร์ และโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ส่วนฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ อาจเริ่มกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยมากขึ้นได้ หากตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ทำให้ค่าเงินบาทจะไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก จนทะลุโซนแนวต้านที่เราประเมินไว้แถว 34.50-34.60 บาทต่อดอลลาร์” นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยกล่าว

ทั้งนี้ ต้องจับตาว่า เงินบาทจะสามารถทรงตัวเหนือระดับเส้นค่าเฉลี่ย EMA 50 วัน แถว 34.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้หรือไม่ เพราะถ้าเงินบาททรงตัวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยได้ ก็จะชี้ว่าเงินบาทมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงต่อได้บ้าง

ส่วนเงินดอลลาร์นั้น มองว่า เงินดอลลาร์อาจเคลื่อนไหว sideways และขาดปัจจัยหนุนฝั่งแข็งค่าที่ชัดเจน แต่เงินดอลลาร์ก็อาจแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ ในกรณีที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการจะออกมาดีกว่าคาด หรือ ตลาดปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) จากความผิดหวังรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน

แนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย เช่น Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

จับตาตัวเลขจีดีพีของจีนใน Q1/2566

อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้ กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า ตลาดจะติดตามข้อมูลจีดีพีไตรมาส 1/66 ของจีนรวมถึงเงินเฟ้อฝั่งยุโรป ในภาพใหญ่ ประเมินว่า แม้เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบถัดไป แต่มีโอกาสสูงที่จะเป็นการขึ้นครั้งสุดท้ายของวัฎจักร

ขณะที่ธุรกิจขนาดย่อมเข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและทิศทางเงินเฟ้อที่ชะลอลงในระยะข้างหน้าบ่งชี้ว่า เฟดจะยุติการขึ้นดอกเบี้ยก่อนธนาคารกลางหลักหลายแห่ง ในภาวะเช่นนี้ ประเมินว่า ค่าเงินดอลลาร์อาจย่ำฐานในกรอบและฟื้นตัวอย่างจำกัด เมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่

ขณะที่ท่าทีของผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ)คนใหม่ ทำให้ตลาดเลื่อนการคาดการณ์ว่า บีโอเจจะปรับนโยบาย Yield Curve Control ออกไปสร้างแรงกดดันให้เงินเยนอ่อนค่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น

สำหรับประเทศไทยนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้กล่าวไว้ว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปและต่อเนื่อง ในช่วงที่ผ่านมามีส่วนช่วยให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่สะดุด และลดความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ขณะที่ผู้ดำเนินนโยบายการเงินไม่สามารถระบุได้ว่า ดอกเบี้ยสูงสุดจะอยู่ที่เท่าใด แต่คาดว่ายังต้องควบคุมความเสี่ยงเกี่ยวกับเงินเฟ้อต่อไป

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่า จากดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้น

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 34.08 บาทต่อดอลลาร์ โดยเงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงต่อเนื่อง โดยในช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวลง หลังราคาทองคำย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับแถว 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ทั้งนี้ ตลาดการเงินเคลื่อนไหวผันผวนไปตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า เฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้อีก 1 ครั้ง และอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25% ได้นานกว่าคาด

ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าสนใจในนสัปดาห์นี้ 

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (S&P Manufacturing & Services PMIs) 

โดยตลาดประเมินว่า ผลกระทบจากปัญหาสภาพคล่องของระบบธนาคารในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงผลกระทบจากการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด อาจกดดันให้ภาคการผลิตยังคงหดตัวอยู่ ชี้จากดัชนี PMI ภาคการผลิต เดือนเมษายน ที่อาจลดลงสู่ระดับ 49 จุด (ดัชนีต่ำกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว) 

แม้ภาวะเงินเฟ้อสูงอาจกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้คนในสหรัฐฯ แต่โดยรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคการบริการจะยังคงได้รับแรงหนุนจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งและตึงตัว ทำให้ดัชนี PMI ภาคการบริการอาจอยู่ที่ระดับ 51.5 จุด 

นอกจากนี้ ยังจับตารายงานภาวะเศรษฐกิจโดยบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่นกัน รวมทั้ง จับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟดในอนาคต รวมถึงรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน

▪ ฝั่งยุโรป – ความกังวลต่อปัญหาระบบธนาคารยุโรปที่คลี่คลายลง อาจหนุนให้บรรดานักลงทุนสถาบันมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจเยอรมนีมากขึ้น 

โดยดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี (ZEW Economic Sentiment) เดือนเมษายน อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 15.1 จุด (ดัชนีสูงกว่า 0 หมายถึง มุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ) ภาพดังกล่าวก็อาจสอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการของเยอรมนีในเดือนเมษายนเช่นกัน

ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจยูโรโซน ตลาดมองว่า เศรษฐกิจยูโรโซน รวมถึงอังกฤษยังมีแนวโน้มที่ดี โดยดัชนี PMI รวมของภาคการผลิตและภาคการบริการ (Composite PMI) เดือนเมษายน อาจปรับตัวขึ้นแตะระดับ 54 จุด สำหรับยูโรโซน และอาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 52.6 จุด สำหรับอังกฤษ 

นอกจากนี้ ยังรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของฝั่งยูโรโซนและอังกฤษ โดย แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ซึ่งไม่รวมผลของราคาพลังงานและอาหาร จะชะลอตัวลงต่อเนื่องแตะระดับ 5.7% (ยูโรโซน) และ 6.0% (อังกฤษ) แต่ระดับดังกล่าวก็ยังสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารอังกฤษ (BOE) เป็นอย่างมาก ทำให้มองว่า ทั้ง ECB และ BOE ยังมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้ต่ออีกราว 1-2 ครั้งในปีนี้

▪ ฝั่งเอเชีย – เศรษฐกิจจีนอาจขยายตัวกว่า +3.8% ในไตรมาสแรกของปีนี้ หนุนโดยการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในฝั่งการบริโภค หรือภาคการบริการหลังการเปิดประเทศ สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการบริการที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง 

ส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในเดือนมีนาคมนั้น ตลาดคาดว่า ยอดค้าปลีกอาจขยายตัวกว่า +7.0% ขณะที่ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) จะขยายตัวเพียง +4.0% สอดคล้องกับดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนที่ไม่ได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเหมือนดัชนี PMI ภาคการบริการ ส่วนยอดการลงทุนสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Investment) อาจโตราว +5.7% (นับจากตั้งแต่ต้นปี) 

ขณะที่ญี่ปุ่น ตลาดคาดว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะยังคงได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวในภาคการบริการ หลังญี่ปุ่นได้เปิดประเทศมาสักระยะแล้ว โดยจะสะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการบริการในเดือนเมษายน ที่จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 55.5 จุด 

ส่วนในภาคการผลิตอุตสาหกรรมก็อาจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตามภาพเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะจีนที่ยังคงสดใส แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวลงก็ตาม แต่ตลาดคาดว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตอาจปรับตัวขึ้นแตะระดับ 49.9 จุด ได้ 

ทั้งนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาใกล้ชิด คือ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่นในเดือนมีนาคม โดยมองว่า หากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่รวมราคาพลังงานและอาหารสด (Core-Core CPI) ยังทรงตัวในระดับสูงราว 3.5% หรือปรับตัวสูงขึ้น ก็อาจเพิ่มโอกาสที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะสามารถทยอยใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นได้ในปีนี้ โดยคาดว่า BOJ อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.10% ในการประชุมเดือนกันยายนนี้

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT