
Michael Burry นักลงทุนชื่อดังผู้เคยเดิมพันสวนตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐก่อนวิกฤตการเงินปี 2551 กลับมาเป็นที่จับตาอีกครั้ง หลังเปิดสถานะ “ชอร์ต” หุ้น Tesla Inc. พร้อมวิจารณ์ว่าราคาหุ้นอยู่ในระดับ “แพงเกินจริงอย่างไร้เหตุผล” ท่ามกลางแรงถกเถียงร้อนแรงเรื่องแพ็กเกจค่าตอบแทนมูลค่ามหาศาลของ Elon Musk ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัท ซึ่งอาจสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และอาจนำไปสู่การลดสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมในอนาคต
คำเตือนของ Burry ดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่นักลงทุนเริ่มหันมาตั้งคำถามกับหุ้นเทคโนโลยีมูลค่าสูงมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่กระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถูกมองว่าอาจร้อนแรงเกินพื้นฐานทางธุรกิจ จนผลักดันราคาหุ้นให้ลอยเหนือความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรจริงของบริษัทต่าง ๆ
การแสดงจุดยืนครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการสะท้อนมุมมองเชิงลบต่อ Tesla เท่านั้น หากยังบ่งชี้ถึงความระมัดระวังของตลาดต่อมูลค่าหุ้นในอุตสาหกรรมปัญหาประดิษฐ์โดยรวม โครงสร้างค่าตอบแทนผู้บริหารระดับสูง และความเสี่ยงที่ผู้ถือหุ้นอาจต้องเผชิญในระยะยาวจากการลดสัดส่วนการถือหุ้นและภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นขณะที่ศักยภาพในการสร้างรายได้ยังไม่แน่นอน
แพ็กเกจค่าตอบแทนมูลค่า “1 ล้านล้านดอลลาร์” ของ Tesla เป็นดีลค่าตอบแทนซีอีโอที่ผู้ถือหุ้นของ Tesla อนุมัติในเดือนพฤศจิกายน 2568 ให้ Elon Musk มีสิทธิรับค่าตอบแทนเป็นหุ้นใหม่ตามผลการดำเนินงาน ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงสุดถึง1 ล้านล้านดอลลาร์ ดังกล่าว ภายใต้เงื่อนไขว่า Tesla ต้องบรรลุเป้าหมายด้านการดำเนินงานและมูลค่าตลาดที่กำหนดไว้ โดยต้องมีมูลค่าตลาดจากระดับราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน ไปแตะ 8.5 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี
สาระสำคัญของแผนนี้ไม่ใช่ตัวเลขมโหฬารเพียงอย่างเดียว แต่คือการผูกชะตาค่าตอบแทนของ Musk เข้ากับการยกระดับ Tesla ให้ก้าวไกลกว่าการเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ไปสู่บทบาทผู้นำในอุตสาหกรรม AI และหุ่นยนต์ โดยโครงสร้างแบ่งรางวัลหุ้นออกเป็น 12 ชุด ซึ่งจะปลดล็อกเป็นลำดับเมื่อบริษัทบรรลุทั้งเป้าหมายมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) และตัวชี้วัดการดำเนินงานที่กำหนดไว้คู่กันในแต่ละช่วง
ภายใต้ข้อตกลงนี้ Musk จะไม่รับเงินเดือนหรือโบนัสเงินสดแม้แต่ดอลลาร์เดียว ค่าตอบแทนทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของบริษัทล้วน ๆ ขณะเดียวกัน การออกหุ้นใหม่เพื่อรองรับแพ็กเกจดังกล่าวย่อมนำไปสู่การลดสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งประเมินกันว่าอาจอยู่ในช่วงราว 8-10% หาก Tesla สามารถบรรลุเงื่อนไขและได้รับสิทธิครบทุกส่วน
Burry ประเมินว่าการให้ค่าตอบแทนซีอีโอในรูปหุ้นของ Tesla จะกัดกร่อนมูลค่าของผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยชี้ว่าการจ่ายผลตอบแทนลักษณะนี้ทำให้สัดส่วนการถือครองของนักลงทุนถูกเจือจางเฉลี่ยราว 3.6% ต่อปี ขณะที่บริษัทยังไม่มีโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อลดผลกระทบดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม มุมมองดังกล่าวถูกเปิดเผยผ่านโพสต์บน Substack และถูกหยิบยกไปรายงานต่อโดยสื่อธุรกิจหลายสำนัก
Burry ย้ำว่าความกังวลนี้เป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้างมากกว่าความผันผวนระยะสั้น โดยมองว่าค่าตอบแทนผู้บริหารในระดับที่สูงเกินปกติ อาจกลายเป็นภาระต่อการสร้างมูลค่าให้ผู้ถือหุ้นในระยะยาว สำหรับ Burry การเพิ่มจำนวนหุ้นเพื่อรองรับแพ็กเกจค่าตอบแทนขนาดใหญ่ อาจกลายเป็นแรงกดดันต่อราคาหุ้น แม้ Tesla จะยังถูกมองว่าเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีแห่งอนาคตก็ตาม
ท่าทีดังกล่าวตอกย้ำจุดยืนเชิงลบของ Burry ต่อหุ้นเทคโนโลยีมูลค่าสูง และสอดรับกับการเดิมพันก่อนหน้านี้ที่เขาเคยเปิดสถานะชอร์ตในหุ้น Nvidia Inc. ผู้นำตลาดเซมิคอนดักเตอร์ของโลก โดยยกประเด็นความกังวลในทิศทางเดียวกันทั้งเรื่องระดับราคาหุ้นและความยั่งยืนของแพ็กเกจค่าตอบแทนผู้บริหาร
แพ็กเกจค่าตอบแทนของ Elon Musk กลายเป็นชนวนถกเถียงในหมู่นักลงทุนสถาบันอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพียงเพราะตัวเลขค่าตอบแทนที่สูงเป็นประวัติการณ์ แต่เพราะโครงสร้างที่ผูกทุกอย่างเข้ากับผลงานในระดับสุดโต่ง ทำให้ความกังวลขยายจากเรื่องค่าใช้จ่าย ไปสู่ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างขององค์กร และคำถามว่าการพึ่งพาผู้นำเพียงคนเดียวมากเกินไป อาจบ่อนทำลายเสถียรภาพของบริษัทในระยะยาวหรือไม่
สัญญาณแรงต้านดังขึ้นชัดเจน เมื่อ Norges Bank Investment Management กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศลงมติไม่เห็นชอบต่อแพ็กเกจดังกล่าว พร้อมให้เหตุผลว่าขนาดของค่าตอบแทนสูงเกินความเหมาะสม มีความเสี่ยงต่อการเจือจางมูลค่าหุ้นของผู้ถือหุ้น และยังขาดกรอบบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมในการผูกอนาคตของ Tesla ไว้กับตัว Musk มากเกินไป น้ำหนักของการคัดค้านจากผู้เล่นรายใหญ่นี้สะท้อนว่าเสียงกังขาต่อ Tesla ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงกลุ่มนักลงทุนสายลบอย่าง Michael Burry หากแต่เริ่มแผ่ขยายสู่ผู้จัดการสินทรัพย์กระแสหลักในตลาดโลก
ในเชิงตลาดทุน ตัวเลขยิ่งหนุนข้อถกเถียง หุ้น Tesla ปรับขึ้นเพียงราว 6.5% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ดัชนี Nasdaq-100 พุ่งแรงกว่า 20% ทิ้งช่องว่างผลตอบแทนไว้อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น ราคาหุ้นยังซื้อขายที่ระดับเกือบ 200 เท่าของกำไรที่คาดใน 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งสะท้อนว่าตลาดกำลังให้ราคากับ “ความคาดหวังอนาคต” มากกว่าผลการดำเนินงานปัจจุบัน แม้ระยะสั้นราคาจะยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบ แต่คำเตือนจากนักลงทุนระดับตำนานและแรงต้านจากสถาบันขนาดใหญ่ กำลังทำให้ความเชื่อมั่นต่อมูลค่าที่แท้จริงของ Tesla ถูกนำมาทบทวนอย่างจริงจังมากขึ้นในระยะยาว