
หลังจากที่โดนัล ทรัมป์ กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง ก็ดูเหมือนว่าทิศทางของตลาดคริปโทเคอร์เรนซีจะได้รับแรงหนุนเป็นพิเศษ ทั้งการส่งเสริมให้รัฐบาลสหรัฐถือครอง Bitcoin, การเปลี่ยนแปลงหัวหน้าคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (SEC) หรือแม้แต่การผลักดันกฎระเบียนที่สนับสนุนตลาดคริปโทเคอร์เรนซีมากขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยเฉพาะในวันที่โลกแบ่งเป็น 2 ขั้วคือ สหรัฐฯและจีน ได้ส่งผลมายังตลาดการลงทุนด้วยเช่นกัน สหรัฐอเมริกาได้ประกาศเป็น Crypto Capital ส่วนประเทศจีนประกาศหนุนการสะสมทองคํา คําถามสำคัญคือ ประเทศไทยเราควรเลือกแบบไหน ? เราควรเก็บ Bitcoin ไว้ในกองทุน Strategic reserve หรือไม่? เพราะไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลเร็วทีสุดของโลก
บทความนี้ SPOTLIGHT ชวนทุกคนมาหาคําตอบ โดยได้สรุปเนื้อหาสำคัญมากจากงานเสวนาหัวข้อ "อนาคตประเทศไทยในวันที่สหรัฐฯ โอบรับ Bitcoin " โดยคุณพิริยะ สัมพันธารักษ์ ผู้ก่อตั้ง Right Shift คอมมูนิตี้บิตคอยน์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย, ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ, นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เเละ คุณทิพยสุดา ถาวรามร อดีตรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ณ งาน Thailand BlockChain Week 2025
คุณทิพยสุดา ถาวรามร อดีตรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ผู้เชี่ยวชาญที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนากฎเกณฑ์เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล และระบบนิเวศการลงทุนยุคใหม่ในประเทศไทย เล่าให้ฟังถึงช่วงการผลักดันกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทยในช่วงเริ่มต้นว่า ในช่วงแรกกระทรวงการคลังอยากออกกฎหมายนี้เพื่อต้องการ “ความชัดเจน” ให้การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีอยู่ภายใต้กรอบการกำกับดูแลในขอบเขตที่กฎหมายสามารถทำได้และที่สำคัญคือกฎหมายต้องปฎิบัติได้จริง
ซึ่งตอนนั้นประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆที่ผลักดันให้สินทรัพย์ดิจิทัลมีสถานะทางกฎหมาย ในปี พ.ศ. 2561 ด้วยพระราชกําหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
คุณทิพยสุดา ยังได้เล่าต่ออีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่เราต้องการ คือ การแสดงให้เห็นว่าคริปโทเคอร์เรนซี ไม่ใช่ของผิดกฎหมาย มันสามารถมีความชัดเจนได้ และเป็นของที่ถูกกำกับดูแลได้อย่างถูกต้องด้วยตัวกฎหมาย
สิ่งที่ดีขึ้นมันทำให้มีความชัดเจน ว่าคริปโทฯไม่ได้ผิดกฎหมาย เป็นสิ่งที่ถูกกำกับดูแลอย่างถูกต้องได้ ซึ่งดีกว่าปล่อยให้คลุมเครือ ไม่รู้ว่ามันถูกหรือไม่ถูก
ด้านคุณพิริยะ สัมพันธารักษ์ ได้แชร์มุมมองต่อรัฐบาล ในฐานะ ผู้ก่อตั้ง Right Shift คอมมูนิตี้บิตคอยน์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย ว่า รัฐบาลควรพิจารณาการเก็บ coin ซึ่งเป็น Strategic reserve (สำรองเชิงยุทธศาสตร์) หรือ ทรัพยากรที่รัฐบาล องค์กร หรือธุรกิจสำรองไว้เพื่อใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือวิกฤตที่คาดไม่ถึง
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ให้ Bitcoin มาใช้แทนเงิน หรือสามารถใช้จ่ายแทนได้ทุกอย่าง เพราะต้องอย่าลืมว่า Bitcoin เกิดมาเพียงแค่ 17 ปี ซึ่งถือว่ามีอายุน้อยมากๆหรือเรียกกว่าเป็น baby เลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้น Bitcoin ยังไม่สามารถมาควบคุมเศรษฐกิจของประเทศได้ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเหตุผลที่คลังจะไม่มี Bitcoin ในพอร์ตบ้าง
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ, นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เล่าว่า หากทุกคนยังจำกันได้เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ทุกคนต่างกลัวการมีบทบาทของคริปโทเคอร์เรนซี โดยกระทรวงการคลังของทุกประเทศบอกว่าเราต้องฆ่าคริปโทฯให้ได้
แต่วันนี้ทุกคนเริ่มเข้าใจกลไกการทำงานของ Blockchain อย่าง Bitcoin ก็ได้ถูกพัฒนามาระยะเวลาหนึ่ง ทุกสินทรัพย์ต้องมีช่วงเวลาที่ยากลำบากก่อนที่จะเข้าสู่ยุครุ่งเรือง ซึ่งในช่วงแรกๆ Bitcoin ถือได้ว่าเป็นสินทรัพย์หน้าใหม่ ทำให้หน่วยงานกำกับดูแล หรือ ผู้ควบคุม ยังเกิดความสับสนในการออกกกฎหมายให้ตอบโจทย์และคลอบคลุม
ดร.กอบศักดิ์ ได้แชร์มุมมองต่อว่า การที่ทรัมป์ได้ประกาศว่าสหรัฐอเมริกาจะเป็น Crypto Capital อาจะส่งผลดีต่อตลาดคริปโทฯในระยะยาว เพียงแต่เราอาจต้องรอเวลา พร้อมทิ้งท้ายว่า “คิดว่ายังไงคริปโทฯก็มาแน่”
คุณพิริยะ ได้เล่าว่า เมื่อ 2 ประเทศ 2 ขั้วอำนาจเลือกสินทรัพย์ที่สร้างบทบาทผู้นำโลกทางการเงิน แล้วประเทศไทยต้องเลือกอะไร ?
สหรัฐอเมริกา ขั้วอำนาจเก่าที่ยังคงต้องการเป็นผู้นำโลกยุคใหม่เลือกสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin และ Stablecoin เป็นส่วนหนึ่งของระบบ เพื่อรักษาความแข็งแกร่งของดอลลาร์ในระยะยาว
ส่วนจีน ประเทศขั้วอำนาจใหม่ที่มีเงินเฟ้อมหาศาลจากแรงอัดฉีดจากรัฐบาล และเมื่อจีนกับสหรัฐฯขัดแย้งกัน ทางออกคือจีนต้องทิ้งสินทรัพย์ที่เกี่ยวกับสหรัฐฯเพื่อลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ และคำตอบก็คือ “การเก็บและสะสมทองคำ” เพราะถ้าหากเข้าไปยุ่งกับ Bitcoin จะทำให้ควบคุมกระแสเงินทุนไม่ได้
ส่วนมุมมองของประเทศไทย คุณพิริยะ ได้แชร์ความคิดเห็นว่า เราควรเป็นกลางเพราะมันจะอันตรายมากหากเราเลือกฝั่งใดฝั่งหนึ่งอย่างจริงตัง โดยภาคธุรกิจก็อาจเริ่มถือสินทรัพย์ดิจิทัลไว้เป็นทุนสำรอง หรือรองรับชำระในรูปแบบ Bitcoin และ Stablecoin
ดร.กอบศักดิ์ ได้แชร์มุมมองในฐานะ บุคคลที่ที่ทำงานในวงการการเงินทั้ง 3 บทบาท (ตลาดทุน, banker,แบงก์ชาติ) ว่าเราควรเลิกขีดเส้นแบ่งโลกการเงินเก่า (traditional asset) และ โลกการเงินใหม่ (digital asset) เพราะท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างมันจะผสมผสานกันในทุกมิติ
ส่วนในฐานะ Banker ก็ต้องยอมรับว่าการที่คริปโทเคอร์เรนซีเข้ามา มันทำให้สถานบันการเงินได้รับผลกระทบทั้งโดยตรงและโดยอ้อม สิ่งที่เราต้องทำคือ “ต้องปรับตัว ต้องสู้กับการเปลี่ยนแปลง ไม่เช่นนั้นเราที่ตาย” โดยสิ่งที่ดีของคริปโทเคอร์เรนซี ของกลไก Blockchain ซึ่งตอนนี้เราทุกคนก็ควรที่จะเรียนรู้และปรับใช้ให้ได้มากที่สุด เช่น ปรับโครงสร้างระบบเงินฝากให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ ดร.กอบศักดิ์ ได้เล่าว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีกฎหมาย Digital Asset เร็วที่สุดประเทศหนึ่งของโลก จากบทเรียนที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่าเราควรมีกฎหมายเข้มไว้ก่อนดีกว่า เพราะทุกสถาบันการเงินจะอยู่ได้ด้วยความเชื่อมั่น ดังนั้นกฎหมายเปรียบเสมือนกับสิ่งที่คุ้มครองทั้งประเทศ และนักลงทุนในบ้าน