Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
SCG โชว์กระแสเงินสดแกร่ง ยก ‘เวียดนาม’ พระเอก ขายดี ส่วนไทยยังเหนื่อย
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

SCG โชว์กระแสเงินสดแกร่ง ยก ‘เวียดนาม’ พระเอก ขายดี ส่วนไทยยังเหนื่อย

30 ต.ค. 68
18:39 น.
แชร์

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกและไทยที่ชะลอตัว ในไตรมาส 3 ปี 2568 บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจี ยังมีกระแสเงินสดแข็งแกร่งที่ 44,511 ล้านบาท แม้รายได้จากการขายลดลง โดยมีตลาดเวียดนามเป็นดาวเด่นที่อัตราการเติบโตของยอดขายสูงนำโด่ง เรียกว่าเป็นจุดสว่างในความมืด 

สำหรับไตรมาส 4 กรรมการผู้จัดการใหญ่เอสซีจีมองว่า สถานการณ์ยังท้าทายมาก อีกทั้งคาดการณ์ว่ามรสุมเศรษฐกิจที่ไทยและโลกเผชิญอยู่ในเวลานี้จะยังยืดเยื้อลากไปถึงปีหน้า อย่างไรก็ตาม เอสซีจีมี 4 กลยุทธ์เสริมความแข็งแกร่งที่ทำมาแล้ว 1 ปี และจะทำต่อไป ดังนั้นจึงมั่นใจว่า “เอาอยู่แน่นอน” 

ทั้งนี้ ด้วยแนวโน้มการเติบโตของเวียดนามที่ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เวียดนามได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตมาแล้วหลายปี ทำให้เวียดนามกำลังจะกลายเป็นฐานที่มั่นสำคัญทางธุรกิจของเอสซีจีในอนาคต ทั้งในฐานะตลาดและฐานการผลิตส่งออกไปทั่วโลก 

เศรษฐกิจโลก-ไทยอยู่ในมรสุมที่ยังไม่เห็นแสงสว่าง

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกและไทยในไตรมาส 3 ปี 2568 ได้รับแรงกดดันจากสงครามการค้า ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ประกอบกับเงินบาทแข็งค่า 5% สูงสุดในรอบ 4 ปี กระทบการส่งออก การลงทุน การท่องเที่ยว และการบริโภคในประเทศอย่างต่อเนื่อง IMF คาดการณ์อัตราการเติบโตของ GDP โลกปี 2568-2569 ชะลอเหลือ 3.2% และ 3.1% ตามลำดับ ขณะที่ไทยมี GDP ปี 2568 เติบโตเพียง 2% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียน และปี 2569 อาจชะลอเหลือ 1.6% 

“เอสซีจีประเมินว่ามรสุมเศรษฐกิจรอบนี้จะยืดเยื้อและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ จึงเร่งปรับตัวตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ทั้งรักษาวินัยทางการเงิน ลดต้นทุน รวมศูนย์การผลิตเพื่อลดความซ้ำซ้อน ปรับโครงสร้างธุรกิจ ตลอดจนพัฒนาสินค้า Smart Value–HVA–กรีน ตอบโจทย์ตลาดทุกระดับ และขยายตลาดใหม่ ทำให้มีกระแสเงินสดแกร่ง ผลการดำเนินงานธุรกิจมั่นคง” นายธรรมศักดิ์กล่าว

ไตรมาส 3 รายได้ลด แต่กระแสเงินสดยังแข็งแกร่ง 

ไตรมาส 3 ปี 2568 เอสซีจีสามารถรักษากระแสเงินสด (EBITDA) แข็งแกร่งที่ 14,191 ล้านบาท มีกำไร 774 ล้านบาท ซึ่งไม่รวม (1) ขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ จากเอสซีจีซี (ธุรกิจเคมิคอลส์) 1,348 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก LSP เวียดนามที่เริ่มดำเนินการผลิตในช่วงแรก จึงต้องเตรียมสินค้าเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับตลาด (2) รายการปรับโครงสร้างธุรกิจ หากรวม 2 รายการดังกล่าวบริษัทฯ จะมีขาดทุนสำหรับงวด 669 ล้านบาท 

รายได้จากการขายรวมของเอสซีจีอยู่ที่ 121,793 ล้านบาท ลดลง 2% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) จากปัจจัยฤดูกาลของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง และรายได้จากการขายที่ลดลงของเอสซีจีพี และลดลง 5% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY)  

สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนปี 2568 เอสซีจีมีกระแสเงินสด (EBITDA) 44,511 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% 

จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มีกำไร 17,767 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 159% มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 370,870 ล้านบาท ลดลง 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 

ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 แยกรายธุรกิจ  

สำหรับผลการดำเนินงานสำคัญรายธุรกิจในเครือเอสซีจีในไตรมาส 3 ปี 2568 เป็นดังนี้  

ธุรกิจซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ มีกำไร 1,583 ล้านบาท แม้ภาคการก่อสร้างชะลอตัวตามฤดูกาล แต่ธุรกิจได้ปรับโครงสร้างลดต้นทุน ขยายตลาดปูนคาร์บอนต่ำทั้งในไทยและอาเซียนอย่างต่อเนื่อง 

เอสซีจี เดคคอร์ ซึ่งมี PRIME เวียดนามเป็นฐานการผลิตส่งออกทั่วอาเซียน มีกำไร 305 ล้านบาท จากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการมุ่งพัฒนาสินค้า HVA และสินค้าเติบโตสูงที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่

เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และเอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล มีกำไร 60 ล้านบาท ธุรกิจได้เร่งลดต้นทุนโดยใช้ AI -ระบบอัตโนมัติ และการจัดการใช้วัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

เอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) ขาดทุน 3,999 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจเผชิญส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ลดลง แต่ยังรักษากำลังการผลิตระดับได้ 85–90% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้เล่นในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP) ที่เวียดนามเริ่มกลับมาดำเนินงานเมื่อเดือนสิงหาคม 2568 ทำให้เครื่องจักรได้รับการบำรุงรักษาสม่ำเสมอ รักษาฐานลูกค้า บริหารต้นทุนอย่างยืดหยุ่นผ่านการปรับสัดส่วนวัตถุดิบระหว่างโพรเพนและแนฟทาได้ทันทีตามราคาที่เหมาะสมในสถานการณ์ตลาด หากปิดโรงงานระยะยาวจะสูญเสียโอกาสทางธุรกิจและแบกรับต้นทุนการเริ่มต้นใหม่ในอนาคต

เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (เอสซีจีพี) มีกำไร 953 ล้านบาท ซึ่งตลาดบรรจุภัณฑ์อาเซียนฟื้นตัวจากการบริโภคภายในประเทศและภาคการส่งออก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคประจำวัน เสื้อผ้าและรองเท้า ได้รับแรงหนุนจากการเตรียมสินค้าล่วงหน้าสำหรับเทศกาลปลายปี ส่วนด้านราคาเยื่อและกระดาษมีการปรับตัวลง เอสซีจีพีจึงเน้นขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับผู้บริโภค การบูรณาการห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค จัดการต้นทุนและการผลิตที่มีประสิทธิภาพโดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนเป็น 38.6% ของการใช้พลังงานทั้งหมด

4 กลยุทธ์เสริมแกร่งที่ทำแล้วและจะทำต่อ 

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวอีกว่า ตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา เอสซีจีเดินหน้ามาตรการเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เงินทุนหมุนเวียนลดลง 21,571 ล้านบาท หนี้สินสุทธิลดลง 32,226 ล้านบาท ต้นทุนทางการเงินลดลง 193 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ที่ 4.7 เท่า และมีเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นไตรมาส 3 อยู่ที่ 50,662 ล้านบาท สะท้อนผลของการบริหารจัดการที่มีวินัยและรอบคอบ

“แม้เศรษฐกิจโลกยังเปราะบางและคาดการณ์ยาก เอสซีจีเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์การปรับตัวอย่างทันท่วงทีที่ผ่านมา คือ ‘ภูมิคุ้มกันที่ถูกทาง’ เห็นได้จากผลการดำเนินงานและ EBITDA ที่แข็งแกร่ง” 

4 กลยุทธ์หลักเสริมแกร่งให้ธุรกิจที่เอสซีจีจะเดินหน้าดำเนินการต่อไปเพื่อรับมือเศรษฐกิจโลกที่เผชิญมรสุมอย่างยืดเยื้อ ประกอบด้วย 

กลยุทธ์ที่ 1: รักษาวินัยทางการเงินต่อเนื่อง บริหารกระแสเงินสดที่มั่นคง ใช้เงินทุนหมุนเวียนอย่างระมัดระวัง เดินหน้าปรับโครงสร้างการดำเนินงานธุรกิจ ลดต้นทุนด้วยหารนำ AI และ Robotics มาใช้ เช่น เอสซีจี เดคคอร์ นำเทคโนโลยีหุ่นยนต์และ AI เข้ามาช่วยตรวจคุณภาพผลิตภัณฑ์ ควบคุมกระบวนการผลิต และบริหารคลังสินค้า ลดต้นทุนได้ถึงกว่า 20% ต่อปี เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ใช้ AI และระบบอัตโนมัติจัดการวัตถุดิบ 

กลยุทธ์ที่ 2: รวมศูนย์การผลิตเพื่อลดความซ้ำซ้อน เน้นเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ในธุรกิจของเอสซีจีที่ดำเนินงานในอาเซียน บริหารต้นทุนการผลิตและส่งออก เช่น เอสซีจี สมาร์ท ลีฟวิง ควบรวบไลน์ผลิตกระเบื้องหลังคาคอนกรีตที่จังหวัดลำพูน ลดต้นทุนได้ 10 ล้านบาท/ปี

กลยุทธ์ที่ 3: รุกตลาดเวียดนามและใช้เวียดนามเป็นฐานการผลิตใหม่เพื่อส่งออกตลาดโลก เนื่องจากเศรษฐกิจเวียดนามเติบโตโดดเด่น GDP ขยายตัวกว่า 7% จากมาตรการรัฐและการลงทุนต่อเนื่องที่เอื้อต่อธุรกิจอสังหาฯ-ก่อสร้าง-บริโภค และมีต้นทุนการผลิตที่แข่งขันได้ทั้งพลังงาน แรงงาน และโลจิสติกส์ 

ด้วยปัจจัยที่บ่งชี้ว่าเวียดนามเป็นตลาดที่มีอนาคต อีกทั้งยังเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกที่ดี เนื่องจากมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) มากกว่าไทย เอสซีจีจึงเร่งขยายฐานในเวียดนาม โดยเพิ่มกำลังการผลิตปูนคาร์บอนต่ำ 8,000 ตันต่อวัน เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังอเมริกา ออสเตรเลีย และยุโรป พร้อมขยายการผลิตและส่งออกเซรามิกจากเวียดนามสู่ตลาดโลก 

ขณะที่โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ประเทศเวียดนาม (LSP) ปรับแผนการผลิตเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบก๊าซโพรเพน ซึ่งมีความสามารถในการแข่งขันในช่วงที่สภาวะราคาวัตถุดิบผันผวน ส่วนโครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP ประเทศเวียดนาม (โครงการ LSPE) ยังคงเดินหน้าต่อเนื่องตามแผน คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จปลายปี 2570 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาว 

กลยุทธ์ที่ 4: ขยายพอร์ตสินค้าและบริการราคาคุ้มค่า Smart Value – HVA - กรีน

เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เอสซีจีได้ขยายกลุ่มสินค้าและบริการ Smart Value “คุณภาพดี–ราคาคุ้มค่า” ทั้งกลุ่มสินค้างานโครงสร้างและวัสดุตกแต่ง และยังมีงานบริการปรับปรุงบ้าน (Home Improvement) จากคิวช่าง ซึ่งคาดว่าสินค้าและบริการกลุ่มนี้จะได้รับความนิยมสูงในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ก็ได้เร่งเพิ่มกำลังผลิตสินค้ากรีนและสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products-HVA) เช่น ปูนคาร์บอนต่ำ ซึ่งอยู่ระหว่างพัฒนาปูนคาร์บอนต่ำรุ่นใหม่ Generation 3 ที่ลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 38%, CPAC Extra Base Layer นวัตกรรมซ่อม-สร้างถนนลดการยุบตัวและคงตัวทนนานจากการกัดเซาะ, สะพาน UHPC (Ultra High Performance Concrete) สมรรถนะสูง ลดเวลาก่อสร้างได้ถึง 50%, 3D Printing Mortar เทคโนโลยีการขึ้นรูปอาคารก่อสร้างที่มีดีไซน์ซับซ้อน ซึ่งมีการขยายตลาดไปญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย และมาเลเซีย เป็นต้น

มองไตรมาส 4 ถึงปีหน้า ยังไม่สดใส 

สำหรับไตรมาส 4 กรรมการผู้จัดการใหญ่มองว่า เศรษฐกิจโลกจะยังจะไม่สดใส แม้ว่าสหรัฐฯกับจีนเจรจากันแล้ว แต่ภาษีศุลกากร (tariff) ยังคงอยู่ ซึ่งทุกครั้งที่เกิดกำแพงภาษีขึ้นจะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะที่ความไม่แน่นอนก็จะทำให้การลงทุนชะลอตัวด้วย 

สำหรับเศรษฐกิจไทย ธรรมศักดิ์มองว่า ในไตรมาส 4 “ยังเหนื่อย” และแนวโน้มนี้อาจจะต่อเนื่องไปถึงปีหน้า เนื่องจากการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้น อัตราการเติบโตของ GDP ไทยจะอ่อนตัวลง การใช้จ่ายภาครัฐอาจจะสะดุดตามรัฐบาล และในปีหน้าจังหวะการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลอาจจะเป็นช่องโหว่ของการใช้จ่ายภาครัฐ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าเอสซีจีจะต้องมุ่งไปคว้าโอกาสในตลาดอาเซียน 

“ท่ามกลางมรสุมเศรษฐกิจโลกที่ยังยืดเยื้อ เอสซีจีประเมินว่าความท้าทายจะยังคงต่อเนื่องถึงปีหน้า จากปัจจัยที่ยังไม่คลี่คลาย เช่น การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น มาตรการกีดกันทางการค้าที่ขยายตัว และค่าเงินบาทที่แข็งกว่าปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งยังคงกดดันการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย แม้เผชิญสถานการณ์ที่ท้าทายมากขึ้น แต่เรามั่นใจว่า มาตรการที่ดำเนินมาอย่างเข้มข้นตลอดปีที่ผ่านมานั้นมาถูกทางแล้ว ทั้งการเสริมวินัยทางการเงิน ปรับโครงสร้างธุรกิจ และขยายสู่ตลาดที่มีศักยภาพ ซึ่งเป็นฐานสำคัญให้เอสซีจียืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง” กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าว

ส่วนการคาดการณ์ผลงานของเอสซีจี กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี บอกว่า ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงท้าทาย บวกกับราคาสินค้าที่ลดลง ดังนั้น สำหรับไตรมาส 4 ของปีนี้ รายได้อาจลดลงเล็กน้อย หรือหากทำรายได้ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ถือว่าน่าพอใจแล้ว

มั่นใจกระแสเงินสดแข็งแกร่ง จ่ายปันผลได้

ส่วนเรื่องปันผลผู้ถือหุ้นที่นักลงทุนรอฟัง กรรมการผู้จัดการใหญ่เอสซีจีกล่าวว่า นโยบายการจ่ายปันผลเป็นไปตามที่กรรมการได้ให้แนวทางไว้ คือ การปันผลจะอิงกับกระแสดงเงินสดซึ่งมีความแข็งแกร่ง ขณะที่กำไรสุทธิไม่ดีนัก หากอิงจากกำไรอาจจะมีความคลาดเคลื่อน 

กรรมการผู้จัดการใหญ่เอสซีจีสรุปให้ความมั่นใจกับนักลงทุนว่า “มีศักยภาพในการจ่ายปันผลแน่นอน” 

ยก ‘เวียดนาม’ คือพระเอก และฐานผลิตแห่งอนาคตที่จะลุยเต็มสูบ

กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ยอมรับว่า เวียดนามคือพระเอกของเอสซีจีในปีนี้ ทั้งในฐานะตลาดที่เติบโตดีและฐานการผลิตที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจ เนื่องจากการผลิตในเวียดนามช่วยลดต้นทุนและสามารถส่งออกไปได้หลายตลาด

ในอนาคต เวียดนามจะสำคัญยิ่งขึ้นสำหรับเอสซีจี เนื่องจากตามกลยุทธ์การรวมศูนย์การผลิตเพื่อลดความซ้ำซ้อน บางธุรกิจจะมีการยุบโรงงานที่อื่นๆ ไปรวมศูนย์การผลิตที่เวียดนามที่เดียว บวกกับกลยุทธ์การรุกตลาดเวียดนามและใช้เวียดนามเป็นฐานการผลิตใหม่เพื่อส่งออกตลาดโลก 

“เราต้องใช้ประโยชน์จากการที่เราเป็นบริษัทระดับอาเซียน ตอนนี้ยอดขายของเราเราอยู่ในประเทศไทยประมาณ 50% แต่เศรษฐกิจไทยโตประมาณ 1% กว่าๆ เราลำบาก ในขณะที่ประเทศอื่นเขาโตประมาณ 7% ถึง 8% เราต้องไปใช้จุดนั้นเป็นจุดแข็ง เราเริ่มรวมศูนย์การผลิตและใช้ประโยชน์จากการที่มีมัลติโลเคชันในการผลักดันยอดขายและกำไร 

“ในส่วนการกระจายฐานตลาดและผลิตภัณฑ์ คิดว่าเวียดนามเป็นฮอตสปอตของการเติบโตทางเศรษฐกิจในอาเซียน เราต้องคว้าโอกาส เพราะว่าเรามีทุกธุรกิจที่เขาต้องการ เพราะฉะนั้นเราต้องเร่งขยายตลาดและใช้ประโยชน์จากการที่เวียดนามมี FTA จำนวนมากให้เป็นประโยชน์กับเรา”

กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี บอกอีกว่า เอสซีจีมีการดำเนินธุรกิจในเวียดนามทุกธุรกิจเท่าที่มีในไทย ซึ่งธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในเวียดนาม คือ ธุรกิจแพกเกจจิงที่มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดและขยายตัวดี ขณะที่ธุรกิจเดคอร์ก็เป็นเจ้าตลาด และขณะนี้กำลังปรับตัวในธุรกิจซีเมนต์ให้มีกำลังการผลิตมากขึ้นให้ทันอัตราการเติบโตของการก่อสร้างในเวียดนามที่โตสูงมาก ส่วนธุรกิจเคมิคอลส์ โรงงาน LSP กำลังปรับเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทน “เชื่อว่าวันที่ปรับเพิ่มอีเทนแล้วเสร็จ เวียดนามจะเป็นดาวรุ่งของเราแน่นอน…” 

แชร์
SCG โชว์กระแสเงินสดแกร่ง ยก ‘เวียดนาม’ พระเอก ขายดี ส่วนไทยยังเหนื่อย