Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
SCG Decor กำไร Q3 เพิ่ม 61% แม้เจอความท้าทาย ยอดขายเวียดนามโตสวนทางไทย
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

SCG Decor กำไร Q3 เพิ่ม 61% แม้เจอความท้าทาย ยอดขายเวียดนามโตสวนทางไทย

28 ต.ค. 68
14:37 น.
แชร์

ในวันที่ 28 ตุลาคม 2568 บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor (SCGD) เผยผลประกอบการไตรมาส 3 และงวด 9 เดือน ปี 2568 ซึ่งสะท้อนภาพเศรษฐกิจใหญ่ได้ดี เพราะยอดขายในประเทศไทยอ่อนแรง ขณะที่ยอดขายในเวียดนามเติบโตดี ส่วนยอดขายในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียยังเติบโตได้แบบค่อยเป็นค่อยไป 

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ SCD Decor ยังมีกำไร 305 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้นมากถึง 61% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) ถือเป็นไตรมาสที่ทำกำไรดีที่สุดนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปลายปี 2566 

ไตรมาส 3 กำไร 305 ล้าน โต 61%

นำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor (SCGD) ซึ่งประกอบธุรกิจเซรามิกวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 ของ SCGD มี EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) อยู่ที่ 902 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และเพิ่ม 18% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) มีกำไร 305 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และ 61% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) โดยมี EBITDA on sales อยู่ที่ 16% และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 5.3%

นำพล มลิชัย

ทั้งนี้ หากพิจารณาผลประกอบการที่ไม่รวมผลกระทบของรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำ (Non-Recurring) SCGD ยังมีอัตราความสามารถในการทำกำไรดีที่สุด จากการเดินหน้าตามกลยุทธ์ที่เข้มข้น รวมถึงการเร่งปรับตัวเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลประกอบการ 9 เดือน ปี 2568 SCGD มี EBITDA อยู่ที่ 2,513 ล้านบาท และกำไร 744 ล้านบาท

สิทธิชัย สุขกิจประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor (SCGD) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ใน 9 เดือนแรกของปี 2568 สามารถขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ไปยังต่างประเทศ และเพิ่มผู้แทนจำหน่ายใน 3 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เป็น 181 ราย และมียอดขายสุขภัณฑ์ในต่างประเทศ 372 ล้านบาท 

รวมทั้งหลังจากเริ่มจำหน่ายวัสดุตกแต่งพื้นผิว SPC (Stone Plastic Composite) จากโรงงานในประเทศแทนการนำเข้า ทำให้มีความได้เปรียบด้านต้นทุนรวมค่าจัดส่ง ส่งผลให้ปริมาณการขายในช่วง 9 เดือนแรกอยู่ที่ 876,000 ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สำหรับการขยายธุรกิจสินค้าและบริการเกี่ยวเนื่อง เพื่อต่อยอดไปสู่อาเซียนในอนาคต ใน 9 เดือนแรกของปี 2568 มียอดขายกว่า 312 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 

ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงินของ SCGD บอกอีกว่า ณ ไตรมาส 3 ปี 2568 SCGD มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 37,064 ล้านบาท และยังคงความแข็งแกร่งทางการเงินด้วยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ที่ 1.3 เท่า ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 0.2 เท่า พร้อมเติบโตในระยะยาว รวมทั้งยังมีการจัดการเงินทุนและการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ เน้นให้สอดคล้องกับแผนการเติบโตในอนาคต 

สิทธิชัย สุขกิจประเสริฐ

4 กลยุทธ์เพิ่มกำไรไรมาส 3 ท่ามกลางความท้าทาย 

นำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGD กล่าวว่า แม้ภาพรวมตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิวและก่อสร้างยังเผชิญความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันที่รุนแรง แต่ SCGD ยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้อย่างแข็งแกร่ง จากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการมุ่งพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) และกลุ่มสินค้าใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ขณะเดียวกัน ยังเดินหน้าขยายศักยภาพการผลิตในต่างประเทศ โดยเฉพาะเวียดนาม ซึ่งเป็นฐานการผลิตและส่งออกหลักของภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับความต้องการวัสดุก่อสร้างที่ฟื้นตัวขึ้นในประเทศเวียดนาม รวมถึงการขยายสู่ตลาดโลกในอนาคต 

SCGD ใช้ 4 กลยุทธ์เพิ่มความสามารถการทำกำไรในไตรมาส 3 ปี 2568 ได้แก่ 

1. การลดต้นทุนด้านพลังงาน โดยการเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์ โดยมีการเพิ่มสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์เป็น 13.6% เพิ่มขึ้น 5.5 เมกะวัตต์จากไตรมาสก่อนหน้า ช่วยลดต้นทุนได้ 22 ล้านบาทต่อปี ขณะที่การใช้เชื้อเพลิงชีวมวลมีสัดส่วน 23.5% เพิ่มขึ้น 1.5% จากไตรมาสก่อนหน้า ลดต้นทุนเพิ่มอีก 15 ล้านบาทต่อปี

2. เจรจาการลดต้นทุนวัตถุดิบได้กว่า 21 ล้านบาท รวมถึงการบริหารจัดการฐานผลิตของ SCGD ในองค์รวมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยให้ PRIME ในเวียดนามเป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าไปยังตลาดที่เหมาะสม เช่น ส่งออกกระเบื้องจาก PRIME ไปยังตลาดประเทศฟิลิปปินส์ สามารถประหยัดต้นทุนได้ 25% เมื่อเทียบกับต้นทุนกระเบื้องที่ผลิตในประเทศฟิลิปปินส์ 

3. การลดต้นทุนการบริหารจัดการด้วยการปรับลดเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) อย่างต่อเนื่อง ด้วยการควบคุมสินค้าคงคลัง และบริหารจัดการลูกหนี้ทางการค้า ช่วยลดต้นทุนได้ 29 ล้านบาทต่อปี

4. การลดต้นทุนทางการเงิน ซึ่งลดได้ปีละ 33 ล้านบาทต่อปี จากการทำสัญญากู้ยืมเงินใหม่ที่ดอกเบี้ยต่ำลงเพื่อชำระหนี้เงินกู้เดิม รวมถึงการชำระหนี้บางส่วน

กลยุทธ์ 4x4 เสริมแกร่งในระยะยาว 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGD เปิดเผยว่า SCGD จะเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันระยะยาวด้วยกลยุทธ์ 4x4 ดังนี้ 

1. ยกระดับ PRIME ประเทศเวียดนามเป็นฐานผลิต-ส่งออกหลักของภูมิภาค เน้นบริหารและควบคุมต้นทุนการผลิตกระเบื้องให้สามารถแข่งกับผู้ผลิตระดับโลกได้ และใช้ความได้เปรียบด้านต้นทุนนี้ขยายตลาดส่งออก ทั้งนี้ ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา PRIME ส่งออกกระเบื้องทั้งสิ้น 2.2 ล้านตารางเมตร เพิ่มสูงขึ้น 47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) 

2. เพิ่มกำลังการผลิตและดันยอดขายกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน เพื่อตอบรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้น โดยเพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน ที่ PRIME ประเทศเวียดนาม เพื่อรองรับความต้องการวัสดุตกแต่งพื้นผิวคุณภาพสูงที่เพิ่มขึ้นทั้งในเวียดนามและตลาดส่งออก 

ทั้งนี้ ในไตรมาส 3 ปี 2568 กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนจาก PRIME มียอดขายกว่า 3.6 ล้านตารางเมตร จากกระแสของผู้บริโภคที่นิยมวัสดุสวย ทน และดูแลรักษาง่าย พร้อมชูจุดแข็งด้านต้นทุนการผลิตที่แข่งขันได้ในระดับโลก 

3. เร่งขยายพอร์ตกลุ่มสินค้าใหม่ในประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตยอดขายในกลุ่มสินค้าเกี่ยวเนื่องต่อจากธุรกิจหลัก และสินค้าใหม่ โดยอาศัยศักยภาพในการจัดหาที่แข็งแกร่ง ซึ่งในไตรมาส 3 เติบโตขึ้น 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 

4. เจาะตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายทุกเซกเมนต์ผ่านสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) เพื่อเข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพและใส่ใจสิ่งแวดล้อม ตอบความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าที่คุณภาพดี ดีไซน์สวย และฟังก์ชันที่คุ้มค่า เช่น วัสดุตกแต่งพื้นผิว กระเบื้องสุขอนามัย ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส ผนังดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ และผลิตภัณฑ์ ‘ผนังที่หายใจได้’ วัสดุปิดผิวผนังนวัตกรรมจากญี่ปุ่น (Flowel Pure TECH by COTTO) ที่ดูดซับสารระเหยอันตราย และปรับสมดุลความชื้นในอากาศ 

ทั้งนี้ ปัจจุบันสินค้า HVA มีสัดส่วนการขายกว่า 41% ต่อรายได้จากการขายทั้งหมดของ SCGD

ไตรมาส 4 คาดรายได้หด เวียดนามโตดี แต่ไทยไม่มีปัจจัยบวก 

สำหรับไตรมาสที่ 4 ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGD คาดว่า ตลาดเวียดนามจะยังคงเติบโตดีต่อเนื่องจากไตรมาส 3 เนื่องจากเวียดนามมีประชากรหนุ่มสาววัยทำงานมาก ส่งผลให้ความต้องการ (demand) ที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ประกอบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทางการเวียดนามมีการปรับเปลี่ยนกฎการขอใช้ที่ดิน ส่งผลให้ไม่มีซัพพลายบ้านใหม่ออกสู่ตลาด ขณะที่ดีมานด์ยังมีมาก ดังนั้น โอกาสการเติบโตของอสังหาฯในเวียดนามจะยังโตต่อเนื่องทั้งในปีนี้และปีหน้า 

ส่วนในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ยอดขายในไตรมาส 3 เติบโตทรงตัว และคาดว่าในไตรมาส 4 ยอดขายจะยังเพิ่มขึ้นได้แบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจัยเรื่องจำนวนประชากรที่มากและโครงสร้างประชากรที่เป็นคนหนุ่มสาวในสัดส่วนที่สูง

สำหรับประเทศไทย คาดว่ายอดขายไตรมาส 4 จะชะลอตัว เนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรและเทศกาลปีใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่คนไทยไม่ก่อสร้างหรือปรับปรุงบ้าน อีกทั้งยังมองไม่เห็นปัจจัยบวกอื่นใด ตรงข้ามกับเวียดนามที่ช่วงปลายปีเป็นไฮซีซั่นของการก่อสร้างและปรับปรุงบ้าน ดังนั้น ยอดขายในเวียดนามคาดว่าจะโตขึ้น

ทั้งนี้ เนื่องจากสัดส่วนยอดขายในประเทศไทยมีขนาดใหญ่ที่สุดถึง 65% ของยอดขายทั้งหมด ดังนั้น คาดว่าในไตรมาสที่ 4 ยอดขายรวมจะหดตัวลง 10% แต่กำไรจะยังเพิ่มขึ้น คล้ายภาพในไตรมาสที่ 3

นอกจากนั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGD เปิดเผยว่า ปัจจุบันรายได้จากการขายในเวียดนามคิดเป็น 22% ของรายได้รวม แต่ SCGD ตั้งเป้าอยากให้รายได้จากเวียดนามเพิ่มเป็น 1 ใน 3 ของรายได้รวม ภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพที่จะเติบโตได้ดี เพราะเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะเติบโตดีจากการที่มีเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ไหลเข้าไปมาก 

อยากเห็นการดูแลค่าเงินบาทและ SME ไทย 

นำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGD กล่าวอีกว่า ค่าเงินบาทของไทยที่แข็งเร็วและต่อเนื่อง เป็นหนึ่งปัจจัยกดดันยอดขายและกำไรของ SCGD ส่งผลให้ยอดขายและกำไรลดลง 10% ตามค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น 10% 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGD มองว่า ผู้ส่งออกจากประเทศไทยได้รับผลกระทบมากกว่า SCGD ที่มีฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม อยากเห็นการดูแลค่าเงินบาทให้มีเถียรภาพ ไม่ผันผวน เพื่อให้ภาคธุรกิจไทยปรับตัวได้ 

นอกจากนั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGD กล่าวว่า อยากเห็นรัฐบาลดูแลธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ให้เข้มแข็ง เพราะ SME มีบทบาทในการจ้างงานและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวม หาก SME เข้มแข็งจะช่วยให้เศรษฐกิจภาพรวมดีขึ้น ดังนั้น ควรมีมาตรการช่วยเหลือ SME ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ดอกเบี้ยต่ำ การเพิ่มเทคโนโลยีการผลิตที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและทำให้ต้นทุนถูกลง เพื่อให้สินค้าของ SME ไทยสู้กับสินค้าจีนได้ และควรปกป้องสินค้าจากต่างประเทศที่เข้ามาโจมตีสินค้า SME ไทย 

แชร์
SCG Decor กำไร Q3 เพิ่ม 61% แม้เจอความท้าทาย ยอดขายเวียดนามโตสวนทางไทย