ตลาดหุ้นสหรัฐฯอยู่ในภาวะ ‘ตลาดกระทิง’ มาครบ 3 ปีแล้ว นับตั้งแต่แตะจุดต่ำสุดครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2022 ซึ่งดัชนี S&P500 ร่วงลง 25.4% จากจุดสูงสุดก่อนหน้านั้น เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าว แต่หลังจากนั้นดัชนีหุ้นสหรัฐฯก็ฟื้นกลับจากจุดต่ำสุดได้ โดยไต่ระดับขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนต่างๆ และพุ่งทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (all-time high) ครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อตลาดอยู่ในภาวะตลาดกระทิงมา 3 ปีแล้ว คำถามคือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯจะเป็นอย่างไรต่อไป จะย่อ จะปรับฐาน หรือจะยังขึ้นได้อีก ?
ในระยะสั้น นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าตอนนี้ราคาหุ้นสหรัฐฯอยู่ในระดับสูงสุดแล้วและจะย่อลง โดยดัชนี S&P 500 กำลังซื้อขายที่ 22 เท่า ของประมาณการกำไรสุทธิในอนาคต (forward earning) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่เกือบ 19 เท่า
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์คาดว่ากำไรของบริษัทในการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2025 ที่กำลังทยอยประกาศในเดือนตุลาคมนี้จะอ่อนแรงลง ดังนั้น มุมมองภาพรวมจึงมองว่า หุ้นสหรัฐฯในช่วงที่เหลือของปีนี้จะย่อตัวลง
จูเลียน เอมานูเอล (Julian Emanuel) นักกลยุทธ์ของ Evercore ISI เขียนวิเคราะห์ว่า ปฏิกิริยาต่อผลประกอบการที่จะเกิดกับราคาหุ้นแต่ละตัวนั้นจะแตกต่างและรุนแรง และจะไม่ใช่ปัจจัยกระตุ้นให้ดัชนีปรับตัวขึ้น นอกจากนั้น เขาบอกว่าราคาหุ้นในตลาดตอนนี้ถูกตั้งไว้สูงจนเกือบสมบูรณ์แล้ว ซึ่งหมายความว่าราคาหุ้นคงจะไม่สูงไปกว่านี้แล้ว
ลอรี คาลวาซินา (Lori Calvasina) นักกลยุทธ์ของ RBC Capital Markets กล่าวว่า อัตราของบริษัทที่ทำกำไรสูงกว่าประมาณการน่าจะน้อยลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากบริษัทต่างๆ ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้ามากขึ้น สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์หลายคนที่ Bloomberg Intelligence ติดตาม ซึ่งคาดการณ์ว่า กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้น 7.4% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดในรอบ 2 ปี
ขณะเดียวกัน นักกลยุทธ์ของมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) ระบุว่า การปรับลดประมาณการกำไรลงอย่างกว้างขวางนั้นสอดคล้องกับแนวโน้มตามฤดูกาลที่อ่อนแอลงในเดือนตุลาคม ซึ่งมอร์แกน สแตนลีย์ มองว่านี่เป็นเพียงการพักตัวชั่วคราวก่อนจะปรับตัวขึ้นในรอบถัดไป เนื่องจากมองว่าคาดการณ์ผลการดำเนินงานจะดีขึ้นในปี 2026
นอกจากนั้น ไมเคิล วิลสัน (Michael Wilson) หัวหน้านักกลยุทธ์หุ้นสหรัฐฯของมอร์แกน สแตนลีย์ วิเคราะห์ว่า หุ้นสหรัฐฯเสี่ยงที่จะร่วงลงมากถึง 11% หากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนยังไม่คลี่คลายก่อนกำหนดเส้นตายเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้
“หากความไม่แน่นอน/ความผันผวนทางการค้ายังคงดำเนินต่อไปจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน เราอาจเห็นการปรับฐานที่มากกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้”
วิลสันคาดการณ์ว่าดัชนี S&P 500 อาจร่วงลงมาอยู่ระหว่าง 6,027 ถึง 5,800 จุด หากสถานการณ์เลวร้าย นั่นหมายความว่าจะมีการเทขายระหว่าง 8% ถึง 11% นับจากราคาปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม
ถ้ามองระยะถัดไป หรือในปีที่สี่ของภาวะตลาดหมี ประวัติศาสตร์ของตลาดชี้ให้เห็นว่า เมื่อตลาดอยู่ในภาวะตลาดหมีกินเวลาเกิน 3 ปี มักเป็นสัญญาณบวกสำหรับช่วงเวลาต่อไป
แซม สโตวอลล์ (Sam Stovall) หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนของ CFRA Research ให้ข้อมูลว่า นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มีภาวะตลาดกระทิง 8 ครั้งที่กินเวลานานเกิน 3 ปี โดยกินเวลาเฉลี่ยเกือบ 6 ปีครึ่ง และให้กำไรรวมเฉลี่ยครั้งละ 213%
“ตลาดกระทิงในรอบปัจจุบันนี้ได้ตัวขึ้น 89% นับถึงจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งชี้ให้เห็นว่า เมื่อพิจารณาจากทั้งในแง่ระยะเวลาและผลตอบแทนแล้ว ยังมีช่องว่างให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก”
จากการที่ CFRA Research วิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลังไปถึงปี 1947 แสดงให้เห็นว่าในปีที่สี่ ตลาดกระทิงมักจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 12.7% โดยผลตอบแทนในปีที่สี่ที่แข็งแกร่งที่สุดเกิดขึ้นในช่วงตลาดกระทิงปี 1982-1987 ซึ่งดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 29.7% ส่วนผลตอบแทนปีที่สี่ที่อ่อนแอที่สุดคือช่วงปี 1949-1956 ซึ่งดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง 2.3%
อารี วาลด์ (Ari Wald) หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิคของ Oppenheimer พบหลักฐานที่คล้ายคลึงกันจากวัฏจักรขาขึ้นที่ยาวนานขึ้น เมื่อพิจารณาถึงวัฏจักรขาขึ้นที่นานกว่า 4 ปี งานวิจัยของวาลด์แสดงให้เห็นว่า หุ้นมีกำไรเฉลี่ย 20% ในปีที่สี่ เนื่องจาก ไม่มีสัญญาณเตือนทางเทคนิคที่น่ากังวล เช่น หุ้นที่ปรับตัวขึ้นมีจำนวนลดลง หรือกลุ่มอุตสาหกรรมที่เน้นการป้องกัน (Defensive Sector) ขึ้นมาเป็นผู้นำตลาด วาลด์จึงคาดว่าวัฏจักรขาขึ้นรอบนี้น่าจะยาวไปถึงปี 2026
นอกจากนี้ มีปัจจัยสำคัญหลายประการที่ยังคงหนุนการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง การเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงเป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญที่ผลักดันให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ขณะเดียวกัน การผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และผลประกอบการของบริษัทที่มีความสามารถในการฟื้นตัว (resilient) ได้เสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุน
แม้จะมีสถานการณ์ทางเศรษฐกิจมหภาคที่ท้าทาย แต่ผู้นำของบริษัทต่างๆ ก็สามารถรับมือกับภาวะเงินเฟ้อ การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน และความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ธุรกิจยังคงมีกำไรและคาดหวังการเติบโตต่อไปได้
ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ นักกลยุทธ์ด้านหุ้นของ CFRA เชื่อว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการเติบโต น่าจะยังคงเป็นผู้นำตลาดต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมบริการด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการที่นักลงทุนยังคงโฟกัสที่นวัตกรรมและการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล (digital transformation)
ถึงแม้สถิติในอดีตจะบ่งชี้ว่าภาวะตลาดกระทิงจะยังคงอยู่ในปีที่สี่ แต่ตลาดกระทิงรอบปัจจุบันนี้ยังเผชิญความท้าทาย นักลงทุนจำนวนมากยังคงกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านมหภาคและภูมิรัฐศาสตร์ โดยความกังวลหลักๆ ได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับฟองสบู่ AI ซึ่งอาจแตกในที่สุด แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังคงมีอยู่ และตลาดแรงงานที่ชะลอตัว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความเสี่ยงจากการปิดทำการของหน่วยงานรัฐ และความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางการเมืองกำลังกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง ภัยคุกคามด้านภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อจีนที่ทรัมป์เพิ่งประกาศเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาด ทำให้ดัชนี S&P 500 ปิดลดลงประมาณ 2%
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความเสี่ยงเหล่านี้ แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่าแนวโน้มโดยรวมยังคงเป็นไปในเชิงบวก ดังที่ แซม สโตวอลล์ หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนของ CFRA Research กล่าวไว้ว่าประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าปีที่สี่ของตลาดกระทิงยังคงนำมาซึ่งผลกำไรที่แข็งแกร่ง แต่เขาก็เตือนด้วยว่า นักลงทุนควรเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่มากขึ้นในระหว่างนี้
โดยสรุปแล้ว ข้อมูลชี้ให้เห็นว่าตลาดกระทิงรอบปัจจุบันนี้ยังคงมีช่องว่างให้ไปต่อได้อีก แต่ก็อาจมีความผันผวนมาทดสอบความอดทนของนักลงทุน ดังนั้น คำถามอาจไม่ใช่แค่ว่าตลาดกระทิงจะยังคงสามารถวิ่งต่อไปได้หรือไม่ แต่ต้องถามว่า นักลงทุนจะวางตำแหน่งตัวเองอย่างไรให้ดีที่สุด เพื่อคว้าโมเมนตัมนี้ไว้ได้ ขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับความผันผวนที่เกิดขึ้นระหว่างทางให้ได้ด้วย
อ้างอิง : Bloomberg [1], Bloomberg [2], Tradealgo