ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกทำผลงานไม่ค่อยดีมาหลายปี ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นโลก 5 ปีจาก 7 ปีหลังสุด แต่ในปี 2025 นี้ตลาดหุ้นเอเชียกำลังทำผลงานดีกว่าทั้งตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นโลก และกำลังเดินหน้าสู่การทำผลงานดีที่สุดในรอบ 8 ปี
นับจากต้นปี MSCI Asia Pacific Index ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นเอเชียแปซิฟิกปรับตัวสูงขึ้นแล้ว 22% แซงหน้าดัชนี S&P 500 ของสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นประมาณ 14% ขณะที่ MSCI ACWI ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นทั่วโลก ปรับตัวขึ้นแล้ว 18.80% นั่นหมายความว่า หุ้นเอเชียให้ผลตอบแทนในแง่ส่วนต่างราคาสูงกว่าหุ้นสหรัฐและค่าเฉลี่ยหุ้นโลก
ตามการรายงานของบลูมเบิร์ก (Bloomberg) ในวันที่ 23 กันยายน 2025 นักวิเคราะห์กล่าวว่า หุ้นเอเชียมีแนวโน้มที่จะบดบังตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดอื่นๆ ต่อไป และเดินหน้าเป็นปีที่ทำผลงานดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2017 เพราะการอ่อนค่าของดอลลาร์หนุนให้ภูมิภาคเอเชียน่าสนใจยิ่งขึ้น บวกกับหุ้นเอเชียได้ประโยชน์จากราคาของหุ้นที่ยังถูกกว่าหุ้นสหรัฐและการที่นักลงทุนโยกย้ายเงินออกจากสินทรัพย์ของสหรัฐ
นอกจากนั้น ปัจจัยที่หนุนตลาดหุ้นเอเชีย คือ สัญญาณที่บ่งชี้ถึงการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างสหรัฐฯกับจีน และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ตอกย้ำแนวโน้มขาลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ในเอเชียผ่อนคลายนโยบายการเงินด้วย
“เรามีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของหุ้นเอเชียแปซิฟิกในช่วงที่เหลือของปีเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ” โฮมิน ลี (Homin Lee) นักกลยุทธ์มหภาคอาวุโสจากธนาคารลอมบาร์ด โอเดีย สิงคโปร์ (Lombard Odier Singapore Ltd.) กล่าว และบอกต่อว่า ด้วยปัจจัยหลายอย่างที่ผสมผสานกัน ตั้งแต่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทรงตัว อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯที่ลดลง และปัญหาการค้าที่คลี่คลายลง น่าจะช่วยหนุนตลาดได้อย่างดี
ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg ดัชนี MSCI Asia ซื้อขายที่ระดับ 16 เท่าของประมาณการกำไรล่วงหน้า ต่ำกว่าของ S&P 500 ที่ซื้อขายระดับ 23 เท่าของประมาณการกำไรล่วงหน้า ในขณะเดียวกัน ดัชนี Hang Seng Tech ซึ่งพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซื้อขายที่ระดับประมาณ 21 เท่าของกำไรล่วงหน้า เทียบกับระดับ 27 เท่าของดัชนี Nasdaq 100 ซึ่งหมายความว่าหุ้นเอเชียมีราคาถูกกว่าหุ้นสหรัฐฯ
แม้ว่าความเร็วและขนาดของวัฏจักรการผ่อนคลายนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯจะยังไม่แน่นอน แต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เป็นปัจจัยหนุนให้สกุลเงินเอเชียแข็งค่าขึ้นแล้ว ขณะที่สัญญาณจากตลาดออปชันบ่งชี้ว่าเทรดเดอร์กำลังจ่ายเงินเพิ่มเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการแข็งค่าของสกุลเงินเอเชีย โดยภาพรวมของ risk reversals ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นตัวชี้วัดดีมานด์ออปชันที่ให้กำไรหากสกุลเงินแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯอยู่ในแดนบวกมาหลายเดือนแล้ว
ชาง ฮวาน ซุง (Chang Hwan Sung) ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอในทีมโซลูชันการลงทุนของอินเวสโค (Invesco) ในฮ่องกงกล่าวว่า “ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ เราจึงเพิ่มการลงทุนในหุ้นที่ไม่ใช่ของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงหุ้นเอเชียเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ” เขาบอกอีกว่าความชื่นชอบในหุ้นเอเชียนี้หลักๆ แล้วมาจากมุมมองเชิงลบต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และการไหลออกของเงินทุนจากสหรัฐฯ ที่มุ่งกระจายการลงทุนไปต่างประเทศ และมองหาโอกาสจากการแข็งค่าของเงินตราต่างประเทศ
แม้ว่าการหยุดชะงักของวัฏจักรการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด หรือการปรับทิศนโยบายไปสู่ทิศทางเข้มงวดมากขึ้น อาจทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเปลี่ยนไปได้อย่างง่ายดาย ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับจีนยังคงเปราะบางและอ่อนแอลง ในขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางการเมืองในอินโดนีเซีย ไทย และญี่ปุ่นก็เป็นที่จับตามองเช่นกัน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนจะส่งผลต่อหุ้นเอเชีย แต่อย่างน้อย ในขณะนี้ก็มีความหวังว่า เมื่อความโดดเด่นของหุ้นสหรัฐถูกตั้งคำถาม ความต้องการลงทุนในหุ้นเอเชียก็น่าจะยังคงแข็งแกร่ง
“สหรัฐฯยังคงเป็นศูนย์กลางของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอำนาจในการสร้างรายได้ของบริษัท แต่เอเชียก็มีมุมมองที่แตกต่าง” จารู ชานานา (Charu Chanana) หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนของแซ็กโซ มาร์เก็ตส์ (Saxo Markets) กล่าว พร้อมชี้ถึงปัจจัยอย่างอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่งของอินเดีย, ความได้เปรียบของธนาคารญี่ปุ่นท่ามกลางการเข้มงวดนโยบายการเงิน และหุ้นเทคโนโลยีจีนบางส่วนที่เริ่มได้แรงหนุนจากนโยบายรัฐควบคู่ไปกับโอกาสสร้างรายได้