สัปดาห์นี้ นักลงทุนทั่วโลกจับตาไปที่การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (Fed) ในวันที่ 16-17 กันยายน ซึ่งนักลงทุน 100% คาดการณ์ว่าในการประชุมครั้งนี้ Fed จะลดดอกเบี้ยลงเป็นครั้งแรกของปี 2025 เนื่องจากตลาดแรงงานสหรัฐส่งสัญญาณอ่อนแอชัดเจนขึ้น
สิ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากกว่าการลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ คือ ถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) ประธาน Fed เกี่ยวกับระดับความรวดเร็วในการผ่อนคลายนโยบายในปีนี้ และการคาดการณ์เศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ย (Dot plot) โดยนักลงทุนคาดหวังอยากให้ Fed ลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในการประชุมทั้ง 3 ครั้งที่เหลือของปีนี้
การคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะลดดอกเบี้ยส่งผลให้อัตราผลตอบแทน (bond yield) พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือน และเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
นักลงทุนพันธบัตรคาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% จำนวน 3 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับตัวขึ้นมาแล้ว 4 สัปดาห์ ทำให้อัตราผลตอบแทนลดลงไปสู่ระดับต่ำสุดในปีนี้ และนอกจากปัจจัยเรื่องการลดดอกเบี้ยแล้ว ตลาดยังจะติดตามดูดีมานด์การประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 20 ปี และอายุ 10 ปี ซึ่งเชื่อมโยงกับอัตราเงินเฟ้อด้วย
ส่วนราคาทองคำยังทรงตัวอยู่ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากที่พุ่งขึ้นรับคาดการณ์การลดดอกเบี้ยแล้วก่อนหน้านี้ ขณะนี้นักลงทุนรอความชัดเจนของการปรับลดดอกเบี้ย และรอเบาะแสหรือสัญญาณว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกในปีนี้ เพื่อที่จะปรับตัวขึ้นต่อไป แต่ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า หาก Fed ไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อๆ ไป จะเป็น “ความเสี่ยง” ต่อราคาทองคำในสัปดาห์นี้
ด้านตลาดหุ้นเอเชีย มุ่งหน้าสู่ระดับการปิดตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีศุลกากรของสหรัฐฯที่ผ่อนคลายลง การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของหุ้นจีน และความคาดหวังว่า Fed จะลดดอกเบี้ย ดัชนี MSCI Asia Pacific ปรับตัวขึ้นสูงสุด 0.2% สู่ระดับ 220.65 ซึ่งหากปิดวันที่ระดับนี้ จะสูงกว่าระดับสูงสุดตลอดกาลซึ่งเคยทำไว้ 220.64 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2021
สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในประเทศไทย ศูนย์วิจัยทองคำได้เผยผลสำรวจมุมมองต่อทิศทางราคาทองคำ (GRC Gold Survey) รายสัปดาห์ วันที่ 15-19 กันยายน 2025 ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญร่วมตอบแบบสำรวจจำนวน 13 รายว่า ผู้เชี่ยวชาญ 6 ราย เทียบเป็น 46% คาดว่าราคาทองคำในประเทศจะปรับเพิ่มขึ้น ส่วนจำนวน 2 ราย หรือเทียบเป็น 15% คาดว่าราคาทองคำจะลดลง และจำนวน 5 ราย หรือเทียบเป็น 39% คาดว่าราคาทองคำจะใกล้เคียงกับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ส่วนมุมมองของนักลงทุน มีนักลงทุนทองคำเข้าร่วมตอบแบบสำรวจ 340 ราย ในจำนวนนี้มี 240 ราย หรือเทียบเป็น 70% คาดว่าราคาทองคำในประเทศจะปรับเพิ่มขึ้น ส่วนจำนวน 67 ราย หรือเทียบเป็น 20% คาดว่าราคาทองคำจะลดลง และจำนวน 33 ราย หรือเทียบเป็น 10% คาดว่าราคาทองคำจะใกล้เคียงกับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สถานการณ์ราคาทองคำแท่งในประเทศ 96.5% ตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (8-12 กันยายน) เคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 54,300 – 54,900 บาท ต่อบาททองคำ โดยราคาทองคำปิดอยู่ที่ระดับ 54,650 บาท ต่อบาททองคำ เพิ่มขึ้น 350 เมื่อเปรียบเทียบกับราคาปิดของสัปดาห์ก่อนหน้า (สัปดาห์ก่อนหน้าปิดที่ 54,300 บาท)
นอกจากนั้น ศูนย์วิจัยทองคำระบุถึง 4 ปัจจัยส่งผลกระทบต่อราคาทองคำที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่
1. การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 17 กันยายน ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกจับตาอย่างใกล้ชิด โดยตลาดคาดว่า Fed จะเริ่มลดดอกเบี้ยครั้งแรกของปีนี้ในเดือนกันยายน 2568 ที่ระดับ 0.25% และอาจลดอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 หากเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำในระยะสั้น
2. การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ในวันที่ 18 กันยายน คาดว่า BOE จะคงอัตราดอกเบี้ยใกล้ระดับปัจจุบันที่ 4.00-4.25% เนื่องจากเศรษฐกิจอังกฤษยังชะลอตัว แต่ตลาดเริ่มคาดว่า BOE อาจส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจในระยะต่อไป
3. การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในระหว่างวันที่ 18-19 กันยายน ซึ่งมีแนวโน้มจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% เช่นเดิม เพราะต้องการดูทิศทางเศรษฐกิจให้ชัดเจนก่อนขึ้นดอกเบี้ยรอบใหม่ อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจญี่ปุ่นและกำไรบริษัทขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง BOJ อาจพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาส 4 ของปี 2568
4. รายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ยอดค้าปลีก, การผลิตภาคอุตสาหกรรม, ดัชนีราคานำเข้า-ส่งออก, ผลสำรวจกิจกรรมภาคการผลิตของ Fed สาขานิวยอร์กและสาขาฟิลาเดลเฟีย ตลอดจนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) วิเคราะห์ว่า สหรัฐฯเริ่มเข้าสู่ช่วงเร่งลดดอกเบี้ยตามประเทศอื่นๆ ที่ทยอยลดมาก่อนหน้า ปัจจุบัน Real Interest Rate ของสหรัฐฯอยู่ที่ 1.6% ทำให้ยังมีช่องว่างให้ปรับลดได้ถึง 6 ครั้ง สอดคล้องกับการคาดการณ์ของ Fed Watch Tool ที่ประเมินว่าจะมีการลดดอกเบี้ยต่อเนื่องทั้งปีนี้และปีหน้า
ในแง่ตลาดหุ้น ดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นแล้วกว่า 32% จากจุดต่ำสุดในเดือนเมษายน 2568 สะท้อนว่าตลาดได้ตอบรับต่อคาดการณ์การลดดอกเบี้ยไปแล้วบางส่วน ขณะที่สถิติในอดีตพบว่า หากเฟดคงดอกเบี้ยอย่างน้อย 6 เดือนก่อนปรับลด 1–2 ครั้ง (เช่นปี 1976, 2002, 2003) มักบ่งชี้เศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง แต่หากปรับลดมากกว่า 4 ครั้ง (เช่นปี 1982, 1986, 1990) สะท้อนเศรษฐกิจอ่อนแรง นักลงทุนจึงมักหันมาเน้น หุ้น Value มากกว่า Growth โดยเฉพาะหุ้นอิงการบริโภคและบริการ มากกว่าหุ้นเทคโนโลยี
ส่วนดัชนีหุ้นตลาดเกิดใหม่ (MSCI EM INDEX) ปรับขึ้น 3.9% ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ค่าเงินตลาดเกิดใหม่ (EM) แข็งค่าต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3
เอเซีย พลัส มองว่า แรงขับเคลื่อนจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง มักหนุนให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM) ขึ้นได้แรงกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว หากวัดจากวันแรกที่ Fed เริ่มลดดอกเบี้ยรอบใหญ่ๆ แต่ละครั้ง ไปในระยะ 1 เดือน 3 เดือน และ 5 เดือนข้างหน้า พบว่า ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM) ปรับตัวขึ้นได้ดี และส่วนใหญ่จะชนะตลาดหุ้นพัฒนา อีกทั้งล่าสุดมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯอยู่ที่ 62 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่ามูลค่าคงค้างตราสารหนี้สหรัฐฯที่ 58 ล้านล้านบาท มีโอกาสเห็นเม็ดเงินโยกย้ายมาฝั่งตลาดเกิดใหม่แทน ซึ่งไทยคือหนึ่งในเป้าหมายนั้น เนื่องจากโดยปกติมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ไทยมักสูงกว่ามูลค่าตลาดหุ้นไทย (market cap) เสมอ แต่ปัจจุบันยังต่ำกว่าและหากมูลค่าของ SET กลับไปสูงเท่ามูลค่าตราสารหนี้ที่ 17.6 ล้านล้านบาท แปลงเป็นเป้าหมายของ SET ที่ระดับ 1414 จุด
อีกทั้ง บลูมเบิร์กยังมองว่านักลงทุนต่างชาติเริ่มหันหลังให้กับอินโดนีเซีย ขณะที่ไทยกลับได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น หลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในไทยสร้างความเชื่อมั่นใหม่ให้กับนักลงทุนได้เป็นอย่างดี โดยดัชนี SET เพิ่มขึ้นกว่า 4% ในเดือนกันยายน เงินบาทแข็งค่าขึ้น 2% เทียบกับดอลลาร์ และนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยเพียง 21 ล้านดอลลาร์ในเดือนกันยายน ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 670 ล้านดอลลาร์
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนหุ้นไทย เอเซีย พลัส แนะนำคัด 3 กลุ่มหุ้นเด่นรับกระแส Liquidity Driven จากนโยบาย Quick Win ของรัฐบาล เพื่อฟื้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อในระยะสั้น ได้แก่ (1.) ค้าปลีก ที่ราคายังล้าหลัง (laggard) ได้แก่ CPALL และ CPAXT (2.) ส่วนหุ้นรับดอกเบี้ยขาลง ได้แก่ MTC, TIDLOR 3. อสังหาฯ ปันผลสูง ได้แก่ AP และ SPALI