Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
นักลงทุนลุ้น Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยถึงสิ้นปี ทอง-หุ้นรอทะยานต่อ
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

นักลงทุนลุ้น Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยถึงสิ้นปี ทอง-หุ้นรอทะยานต่อ

15 ก.ย. 68
12:38 น.
แชร์

สัปดาห์นี้ นักลงทุนทั่วโลกจับตาไปที่การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (Fed) ในวันที่ 16-17 กันยายน ซึ่งนักลงทุน 100% คาดการณ์ว่าในการประชุมครั้งนี้ Fed จะลดดอกเบี้ยลงเป็นครั้งแรกของปี 2025 เนื่องจากตลาดแรงงานสหรัฐส่งสัญญาณอ่อนแอชัดเจนขึ้น 

สิ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากกว่าการลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ คือ ถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) ประธาน Fed เกี่ยวกับระดับความรวดเร็วในการผ่อนคลายนโยบายในปีนี้ และการคาดการณ์เศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ย (Dot plot) โดยนักลงทุนคาดหวังอยากให้ Fed ลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในการประชุมทั้ง 3 ครั้งที่เหลือของปีนี้ 

ดอลลาร์-บอนด์ยีลด์สหรัฐร่วง ทองทรงตัวรอลุ้นไปต่อ

การคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะลดดอกเบี้ยส่งผลให้อัตราผลตอบแทน (bond yield) พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือน และเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง

นักลงทุนพันธบัตรคาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% จำนวน 3 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับตัวขึ้นมาแล้ว 4 สัปดาห์ ทำให้อัตราผลตอบแทนลดลงไปสู่ระดับต่ำสุดในปีนี้ และนอกจากปัจจัยเรื่องการลดดอกเบี้ยแล้ว ตลาดยังจะติดตามดูดีมานด์การประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 20 ปี และอายุ 10 ปี ซึ่งเชื่อมโยงกับอัตราเงินเฟ้อด้วย 

ส่วนราคาทองคำยังทรงตัวอยู่ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากที่พุ่งขึ้นรับคาดการณ์การลดดอกเบี้ยแล้วก่อนหน้านี้ ขณะนี้นักลงทุนรอความชัดเจนของการปรับลดดอกเบี้ย และรอเบาะแสหรือสัญญาณว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกในปีนี้ เพื่อที่จะปรับตัวขึ้นต่อไป แต่ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า หาก Fed ไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อๆ ไป จะเป็น “ความเสี่ยง” ต่อราคาทองคำในสัปดาห์นี้  

ด้านตลาดหุ้นเอเชีย มุ่งหน้าสู่ระดับการปิดตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีศุลกากรของสหรัฐฯที่ผ่อนคลายลง การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของหุ้นจีน และความคาดหวังว่า Fed จะลดดอกเบี้ย ดัชนี MSCI Asia Pacific ปรับตัวขึ้นสูงสุด 0.2% สู่ระดับ 220.65 ซึ่งหากปิดวันที่ระดับนี้ จะสูงกว่าระดับสูงสุดตลอดกาลซึ่งเคยทำไว้ 220.64 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 

กูรูเกือบครึ่งมองราคาทองไทยยังเพิ่มขึ้น  

สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในประเทศไทย ศูนย์วิจัยทองคำได้เผยผลสำรวจมุมมองต่อทิศทางราคาทองคำ (GRC Gold Survey) รายสัปดาห์ วันที่ 15-19 กันยายน 2025 ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญร่วมตอบแบบสำรวจจำนวน 13 รายว่า ผู้เชี่ยวชาญ 6 ราย เทียบเป็น 46% คาดว่าราคาทองคำในประเทศจะปรับเพิ่มขึ้น ส่วนจำนวน 2 ราย หรือเทียบเป็น 15% คาดว่าราคาทองคำจะลดลง และจำนวน 5 ราย หรือเทียบเป็น 39% คาดว่าราคาทองคำจะใกล้เคียงกับสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ส่วนมุมมองของนักลงทุน มีนักลงทุนทองคำเข้าร่วมตอบแบบสำรวจ 340 ราย ในจำนวนนี้มี 240 ราย หรือเทียบเป็น 70% คาดว่าราคาทองคำในประเทศจะปรับเพิ่มขึ้น ส่วนจำนวน 67 ราย หรือเทียบเป็น 20% คาดว่าราคาทองคำจะลดลง และจำนวน 33 ราย หรือเทียบเป็น 10% คาดว่าราคาทองคำจะใกล้เคียงกับสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ สถานการณ์ราคาทองคำแท่งในประเทศ 96.5% ตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (8-12 กันยายน) เคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 54,300 – 54,900 บาท ต่อบาททองคำ โดยราคาทองคำปิดอยู่ที่ระดับ 54,650 บาท ต่อบาททองคำ เพิ่มขึ้น 350 เมื่อเปรียบเทียบกับราคาปิดของสัปดาห์ก่อนหน้า (สัปดาห์ก่อนหน้าปิดที่ 54,300 บาท) 

นอกจากนั้น ศูนย์วิจัยทองคำระบุถึง 4 ปัจจัยส่งผลกระทบต่อราคาทองคำที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ 

1. การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 17 กันยายน ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกจับตาอย่างใกล้ชิด โดยตลาดคาดว่า Fed จะเริ่มลดดอกเบี้ยครั้งแรกของปีนี้ในเดือนกันยายน 2568 ที่ระดับ 0.25% และอาจลดอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 หากเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำในระยะสั้น

2. การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ในวันที่ 18 กันยายน คาดว่า BOE จะคงอัตราดอกเบี้ยใกล้ระดับปัจจุบันที่ 4.00-4.25% เนื่องจากเศรษฐกิจอังกฤษยังชะลอตัว แต่ตลาดเริ่มคาดว่า BOE อาจส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจในระยะต่อไป

3. การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในระหว่างวันที่ 18-19 กันยายน ซึ่งมีแนวโน้มจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% เช่นเดิม เพราะต้องการดูทิศทางเศรษฐกิจให้ชัดเจนก่อนขึ้นดอกเบี้ยรอบใหม่ อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจญี่ปุ่นและกำไรบริษัทขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง BOJ อาจพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาส 4 ของปี 2568

4. รายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ยอดค้าปลีก, การผลิตภาคอุตสาหกรรม, ดัชนีราคานำเข้า-ส่งออก, ผลสำรวจกิจกรรมภาคการผลิตของ Fed สาขานิวยอร์กและสาขาฟิลาเดลเฟีย ตลอดจนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

โบรกมองปัจจัยนอก-ในหนุน SET ลุ้น 1414 จุด 

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) วิเคราะห์ว่า สหรัฐฯเริ่มเข้าสู่ช่วงเร่งลดดอกเบี้ยตามประเทศอื่นๆ ที่ทยอยลดมาก่อนหน้า ปัจจุบัน Real Interest Rate ของสหรัฐฯอยู่ที่ 1.6% ทำให้ยังมีช่องว่างให้ปรับลดได้ถึง 6 ครั้ง สอดคล้องกับการคาดการณ์ของ Fed Watch Tool ที่ประเมินว่าจะมีการลดดอกเบี้ยต่อเนื่องทั้งปีนี้และปีหน้า 

ในแง่ตลาดหุ้น ดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นแล้วกว่า 32% จากจุดต่ำสุดในเดือนเมษายน 2568 สะท้อนว่าตลาดได้ตอบรับต่อคาดการณ์การลดดอกเบี้ยไปแล้วบางส่วน ขณะที่สถิติในอดีตพบว่า หากเฟดคงดอกเบี้ยอย่างน้อย 6 เดือนก่อนปรับลด 1–2 ครั้ง (เช่นปี 1976, 2002, 2003) มักบ่งชี้เศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง แต่หากปรับลดมากกว่า 4 ครั้ง (เช่นปี 1982, 1986, 1990) สะท้อนเศรษฐกิจอ่อนแรง นักลงทุนจึงมักหันมาเน้น หุ้น Value มากกว่า Growth โดยเฉพาะหุ้นอิงการบริโภคและบริการ มากกว่าหุ้นเทคโนโลยี 

ส่วนดัชนีหุ้นตลาดเกิดใหม่ (MSCI EM INDEX) ปรับขึ้น 3.9% ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ค่าเงินตลาดเกิดใหม่ (EM) แข็งค่าต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 

เอเซีย พลัส มองว่า แรงขับเคลื่อนจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง มักหนุนให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM) ขึ้นได้แรงกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว หากวัดจากวันแรกที่ Fed เริ่มลดดอกเบี้ยรอบใหญ่ๆ แต่ละครั้ง ไปในระยะ 1 เดือน 3 เดือน และ 5 เดือนข้างหน้า พบว่า ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM) ปรับตัวขึ้นได้ดี และส่วนใหญ่จะชนะตลาดหุ้นพัฒนา อีกทั้งล่าสุดมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯอยู่ที่ 62 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่ามูลค่าคงค้างตราสารหนี้สหรัฐฯที่ 58 ล้านล้านบาท มีโอกาสเห็นเม็ดเงินโยกย้ายมาฝั่งตลาดเกิดใหม่แทน ซึ่งไทยคือหนึ่งในเป้าหมายนั้น เนื่องจากโดยปกติมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ไทยมักสูงกว่ามูลค่าตลาดหุ้นไทย (market cap) เสมอ แต่ปัจจุบันยังต่ำกว่าและหากมูลค่าของ SET กลับไปสูงเท่ามูลค่าตราสารหนี้ที่ 17.6 ล้านล้านบาท แปลงเป็นเป้าหมายของ SET ที่ระดับ 1414 จุด 

อีกทั้ง บลูมเบิร์กยังมองว่านักลงทุนต่างชาติเริ่มหันหลังให้กับอินโดนีเซีย ขณะที่ไทยกลับได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น หลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในไทยสร้างความเชื่อมั่นใหม่ให้กับนักลงทุนได้เป็นอย่างดี โดยดัชนี SET เพิ่มขึ้นกว่า 4% ในเดือนกันยายน เงินบาทแข็งค่าขึ้น 2% เทียบกับดอลลาร์ และนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยเพียง 21 ล้านดอลลาร์ในเดือนกันยายน ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 670 ล้านดอลลาร์

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนหุ้นไทย เอเซีย พลัส แนะนำคัด 3 กลุ่มหุ้นเด่นรับกระแส Liquidity Driven จากนโยบาย Quick Win ของรัฐบาล เพื่อฟื้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อในระยะสั้น ได้แก่ (1.) ค้าปลีก ที่ราคายังล้าหลัง (laggard) ได้แก่ CPALL และ CPAXT (2.) ส่วนหุ้นรับดอกเบี้ยขาลง ได้แก่ MTC, TIDLOR 3. อสังหาฯ ปันผลสูง ได้แก่ AP และ SPALI

แชร์
นักลงทุนลุ้น Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยถึงสิ้นปี ทอง-หุ้นรอทะยานต่อ