
อยากลงทุนให้เงินเก็บของเราชนะเงินเฟ้อและหวังไปถึงการได้ผลตอบแทนในระดับที่ช่วยให้เรารวยขึ้น ควรลงทุนในสินทรัพย์ไหนดี อสังหาฯ หุ้น ทอง บิตคอยน์ ?
…เป็นคำถามที่ไม่ใหม่ แต่น่าสนใจมากขึ้นเมื่อถูกนำมาพูดคุยกันบนเวทีเสวนา “THE GREAT DEBATE: THE INFLATION BATTLE” ในงาน Bitkub Summit 2025 เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งสิ่งที่ทำให้การสนทนาหัวข้อนี้น่าสนใจมากขึ้นก็เพราะว่า เป็นการเจอกันของผู้ร่วมเสวนาที่มีประเด็นวิวาทะผ่านโซเชียลมีเดียกันมาก่อนหน้านี้ นั่นคือ ดร.โสภณ พรโชคชัย กับซีเค เจิง
ธีมของเวทีเสวนานี้เป็นการดีเบตซึ่งแบ่งผู้ร่วมเสวนาออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งสีน้ำเงินไม่สนับสนุนการลงทุนในบิตคอยน์ ได้แก่ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานเอเจนซี ฟอร์ เรียล เอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) และพิชัย จาวลา เจ้าของเครือโรงแรม B2 กับฝั่งสีแดงที่สนับสนุนการลงทุนในบิตคอยน์และหุ้น ได้แก่ ดิว-วีรวัฒน์ วลัยเสถียร ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO และซีเค เจิง (CK) ซีอีโอ Fastwork พร้อมด้วย ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ซีอีโอ บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (Bitkub) ที่ร่วมเสวนาโดยเลือกเป็นทีมกรรมการร่วมกับผู้ดำเนินรายการ พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์
แม้ว่าบรรยากาศการพูดคุยจะค่อนข้างตึงเครียด แต่ SPOTLIGHT คัดเนื้อหาสาระเน้นๆ แบบไม่มีดราม่ามาให้ผู้สนใจได้อ่านกัน
พิชัย จาวลา เจ้าของเครือโรงแรม B2 ผู้ชู ‘ทฤษีคนส่วนน้อย’ บอกว่าตัวเขาจะยึด ‘ทฤษีคนส่วนน้อย’ มีโจทย์ส่วนตัวที่จะเป็นคนส่วนน้อยเสมอในทุกๆ การลงทุน โดยไม่สนว่าตนเองจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิดในเรื่องต่างๆ เพราะมีโจทย์ที่ชัดเจนคือจะเป็นคนส่วนน้อย
เหตุผลที่พิชัยยึดมั่นในจุดยืนที่จะเป็นคนส่วนน้อยก็เพราะเขาเชื่อว่า พื้นฐานในโลกทุนนิยม คนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะรวยได้ ถ้าทุกคนมีเงินเยอะพร้อมกัน เงินจะไม่มีค่า ฉะนั้น คนที่รวยกว่าคนส่วนใหญ่เท่านั้นที่จะเป็น ‘คนรวยจริง’
“ในพื้นฐานของโลกทุนนิยม คนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะรวยได้ เพราะฉะนั้นจุดยืนของผมเวลาที่ผมจะตัดสินใจลงทุนอะไรก็ตาม โจทย์ของผมคือ ผมจะเป็นคนส่วนน้อย แต่ความยากก็คือ เมื่อไหร่ที่เราจะเป็นคนส่วนน้อยได้จริงๆ เรามักจะต้องผิดตามเหตุผล ตามสถานการณ์ ตามข้อเท็จจริง ตามกราฟ ตามทุกอย่าง เพราะผมไม่เชื่อว่าคนสุดใหญ่ที่เขาคิดเหมือนกันเขาจะผิดกันหมดแล้วผมถูกอยู่คนเดียว มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ผมยอมผิดแต่ผมได้เป็นคนส่วนน้อย …
“การจะเป็นคนส่วนน้อยมันยาก เพราะมนุษย์ยึดติดกับเหตุผล ยึดติดกับความรู้ เวลาที่เหตุผลทุกอย่างมันชัด ถ้าเราจะเป็นฝ่ายที่ถูกต้องตามเหตุผล เรากลายเป็นคนส่วนใหญ่ เราจะเป็นคนส่วนน้อยไม่ได้ ถ้าอยากเป็นคนที่คิดถูกและเป็นคนส่วนน้อยด้วยมันไม่ได้ ดังนั้นผมต้องปล่อยวางทุกอย่างที่ทุกคนบอกว่าถูกต้อง เพื่อที่จะได้เป็นคนส่วนน้อย” พิชัยอธิบาย
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานเอเจนซี ฟอร์ เรียล เอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) ผู้มองว่า “เงินเฟ้อไม่มีจริง” จนนำมาสู่หนึ่งหัวข้อการถกเถียงบนเวทีนี้ อธิบายแนวคิดของตนเองว่า แม้ว่าสินค้ามีราคาสูงขึ้นตามเวลาที่เปลี่ยนไป แต่รายได้ของคนในสังคมก็เพิ่มขึ้นด้วย และคุณภาพชีวิตของคนในสังคมดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งมีการศึกษาดีขึ้น มีสุขภาพดีขึ้น อายุยืนยาวขึ้น การติดต่อสื่อสารและการคมนาคมขนส่งก็ดีขึ้น
ดร.โสภณยกตัวเลขมาสนับสนุนความคิดดังกล่าวว่า เมื่อ 60 ปีที่แล้ว (พ.ศ. 2503) สัดส่วนคนไทยที่ยากจนมีมากถึง 60% ของประชากร แต่ในปัจจุบัน สัดส่วนคนยากจนมีไม่ถึง 10% เนื่องจากการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาด้านต่างๆ ที่ทำให้คุณภาพชีวิตของคนดีขึ้นและหลุดพ้นความยากจน
นอกจากนั้น ดร.โสภณบอกว่า แม้ว่าอาหารราคาสูงขึ้น แต่มีปัจจัยในการดำรงชีพบางรายการที่ราคาต่ำลงเมื่อเทียบกับรายได้ อย่างเช่น ค่าเดินทาง เป็นต้น
“ถ้าวันนี้เรายังมีรายได้เดือนละ 100 บาท เราคงซื้อก๋วยเตี๋ยวกินไม่ได้แล้ว เพราะก๊วยเตี๋ยวราคาถ้วยละ 50 บาท อย่าลืมว่าคนในยุคนี้ก็ไม่ได้อดตายเพราะเงินเฟ้อ แต่เงินเฟ้อเป็นข้ออ้างให้เรากลัวเงินเฟ้อแล้วนำเงินไปลงทุน ซึ่งการลงทุนที่เราคิดว่าดีกว่าการเก็บเงินสดมันอาจจะไม่จริงก็ได้ ถ้าจะลงทุน ลงทุนทำธุรกิจของตนเองดีกว่า” ดร.โสภณเริ่มไปแตะประเด็นการลงทุน ซึ่งตัวเขาเองไม่สนับสนุนแนวคิดที่ว่าทุกคนควรลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพราะมีคนเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จกับการลงทุน
ซีเค เจิง (CK) ซีอีโอ Fastwork ซึ่งมีชื่อเสียงจากการทำคอนเทนต์การเงินและการลงทุนอธิบายการเกิดขึ้นของเงินเฟ้อโดยออกตัวว่าอ้างอิงคำกล่าวของ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีระดับโลกที่ว่า เงินเฟ้อเกิดขึ้นมาจากการที่รัฐบาลพิมพ์เงินออกมาเร็วกว่าที่ภาคเศรษฐกิจสร้างเงินได้จริง ดังนั้น ถ้าภาคธุรกิจภาคเศรษฐกิจจริงสามารถสร้างเงินได้มากกว่าที่รัฐบาลพิมพ์เงินออกมา เงินเฟ้อแทบจะไม่มีเลย
ส่วนแนวคิดที่ว่า ‘เงินคือหนี้’ คำอธิบายของ CK คือ เงินจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้ารัฐบาลไม่มีหนี้ รัฐบาลต้องเป็นหนี้จึงจะสามารถพิมพ์เงินได้ ยกตัวอย่างรัฐบาลสหรัฐอเมริกาออกตราสารหนี้กู้เงินเพิ่มปีละ 2-3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนในมุมของธนาคารพาณิชย์นั้น ธนาคารพาณิชย์สร้างเงินทุกวันโดยรับฝากเงินแล้วนำเงินนั้นไปปล่อยเงินกู้ เป็นการสร้างเงินขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น มีคนฝากเงิน 5 คน คนละ 1,000 บาท แล้วธนาคารพาณิชย์ให้กู้เงิน 1,000 บาทแก่คนที่ 6 เป็นการสร้างเงินขึ้นมาอีก 1,000 บาท จากเงินกู้ 5,000 บาท กลายเป็นมีเงินในระบบ 6,000 บาท
“นี่คือแนวคิดที่ว่าเงินคือหนี้ คนรวยจริงๆ ไม่ถือเงินสด อย่างเช่น วอร์เรน บัฟเฟตต์ หนึ่งในคนที่รวยที่สุดในโลก เขาไม่ถือเงินสด แต่ลงทุนอยู่ในตราสารหนี้สหรัฐอเมริกา คนรวยจริงไม่มีใครถือเงินสดเปล่าๆ เพราะทุกวันนี้ตราสารหนี้อเมริกาให้ดอกเบี้ย 4.25% 4.50% หรือสามารถนำเงินไปรับดอกเบี้ยใน DeFi ได้ที่ประมาณ 4.5% ทำไมคุณถึงจะถือเงินสดเปล่าๆ ล่ะ เราไม่ควรถือเงินสดเปล่าๆ แต่เราควรถือโปรดักต์ของเงิน ซึ่งคือ หนี้ เพราะว่าเงินคือหนี้”
ด้านวีรวัฒน์ วลัยเสถียร ผู้ถือหุ้นใหญ่ TISCO มีมุมมองต่อเงินเฟ้อว่า แม้ว่ารายได้ของคนในสังคมเพิ่มขึ้นจากยุคสมัยก่อนจริงแต่ก็เพิ่มขึ้นช้ากว่าราคาสินค้า
วีรวัฒน์มองว่า การจะเอาชนะเงินเฟ้อได้มีสองสามทาง คือ ต้องพยามหารายได้เพิ่ม ถ้ามี active income แล้วก็อาจจะต้องมี passive income ด้วย ส่วนคนที่หา passive income ไม่ได้อาจจะต้องเพิ่ม active income ทางที่สองหรือสาม เป็นการเพิ่มรายรับเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ
ด้านท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ซีอีโอ Bitkub มองว่ามุมมองของฝั่ง ดร.โสภณ กับฝั่ง CK และดิว “ถูกทั้งคู่” แต่สองฝั่งพูดกันคนละส่วน
ท๊อป-จิรายุสอธิบายเพิ่มเติมว่า มุมมองของ ดร.โสภณเป็นการมองเรื่อง ‘ความยากจนสัมบูรณ์’ (absolute poverty) ที่พยายามชี้ให้เห็นว่า แม้ว่าสินค้ามีราคาเพิ่มขึ้น แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในยุคปัจจุบันดีขึ้นกว่าในอดีต ตามการพัฒนาของอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งทำให้มีผลิตภาพ (productivity) เพิ่มขึ้น และคนยากจนมีสัดส่วนน้อยลง ดังนั้น ดร.โสภณจึงสรุปว่า เงินเฟ้อไม่มีจริง
ขณะที่ฝั่งสีแดงพูดเรื่องความยากจนสัมพัทธ์ (relative poverty) ที่พยายามชี้ให้เห็นว่า ผลของ productivity ที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่ได้กระจายไปสู่ทุกคนอย่างเท่าเทียมแต่กระจุกอยู่ในกลุ่มเจ้าของเทคโนโลยีและเจ้าของกิจการ ต่างจากผลกระทบจากการที่รัฐบาลพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นที่ส่งผลกระทบต่อทุกคนอย่างทั่วถึง ส่งผลให้กำลังซื้อ (purchesing power) ของคนส่วนใหญ่ในสังคมลดลง
จิรายุสมองว่า มุมมองของ ดร.โสภณถูกตรงที่ว่า ความยากจนสัมบูรณ์’ (absolute poverty) ดีขึ้น ขณะที่ฝั่งสีน้ำเงินก็ถูกเช่นกันตรงที่ว่า ความยากจนสัมพัทธ์ (relative poverty) แย่ลง
“ดังนั้น ต้องแยกสองคำนี้ออกจากกัน” ซีอีโอ Bitkub สรุป
ด้านพิชัย จาวลา มองว่า การถกเถียงกันเรื่องเงินเฟ้อนั้นเป็นเรื่องที่เสียเวลา และบอกว่า ในวงสนทนาของคนรวยไม่เคยมีเรื่องเงินเฟ้อ ไม่ใช่ว่าเงินเฟ้อไม่มีจริง แต่เงินเฟ้อเป็นสิ่งที่คนรวยไม่ให้ค่า ไม่เก็บมากังวล เพราะคนรวยชนะเงินเฟ้อเสมออยู่แล้ว
ดังนั้น พิชัยจึงสรุปว่า “เราต้องสอนคนให้เป็นคนรวย ไม่ใช่สอนคนให้กลัวเงินเฟ้อ”
พิชัยอธิบายเรื่องเงินเฟ้อต่อว่า สิ่งที่ก่อให้เกิดเงินเฟ้อมากที่สุด คือ การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาที่ดิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกนำมาคำนวณในอัตราเงินเฟ้อ เพราะเงินเฟ้อเป็นกติกาที่คนรวยตั้งใจออกแบบมาให้คนรวยกับคนทั่วไปอยู่ในเกมคนละเกม
คนในประเทศนี้ที่จนลงเพราะราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นแรง จากราคาที่ดิน 1 ล้านบาทเมื่อ พ.ศ. 2500 เพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาทใน พ.ศ. 2560 คนที่เคยรวยในอดีตกลายเป็นคนจนในยุคปัจจุบันเพราะอสังหาริมทรัพย์ราคาสูงขึ้น แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ถือครองอสังหาริมทรัพย์
“ราคาอสังหาริมทรัพย์ไม่ถูกคำนวณในค่าเงินเฟ้อ เหมือนเขาแยกเรื่องและสอนเราว่าเงินเฟ้อเป็นเรื่องรายรับและรายจ่าย เป็นเรื่องของชนชั้นกลาง ส่วนเรื่องอสังหาริมทรัพย์ เรื่องราคาที่ดิน เป็นเรื่องของคนรวย เป็นเรื่องของการลงทุน มันถูกแยกเรื่อง มันเป็นการสอนที่ไม่ถูก แต่มันเป็นความตั้งใจของคนออกแบบกติกาเพื่อจะพรางให้กติกาของคนรวยเป็นแบบหนึ่ง และกติกาของชนชั้นกลางของคนธรรมดาเป็นอีกแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้น สิ่งที่สร้างเงินเฟ้อมากที่สุดคือการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดิน ถ้าเราอยากชนะเงินเฟ้อ เราต้องลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ในที่ดิน เราก็ชนะเงินเฟ้อขาดลอยแล้ว”
พิชัยฉายภาพอีกว่า ในยุคที่เขายังเป็นวัยรุ่นเมื่อประมาณ 40 ปีก่อน ได้เห็นว่าคนทำมาค้าขายธรรมดาที่ตลาดวโรรสในเมืองเชียงใหม่ล้วนแต่มีฐานะร่ำรวย สามารถซื้อบ้านด้วยเงินสด แต่สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนเมื่อ พ.ศ. 2530 ยุคนายกรัฐมนตรีชาติชาย ชุณหะวัณ ที่เศรษฐกิจรุ่งเรืองเฟื่องฟู ราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 10-100 เท่าภายในเวลา 3 ปี หลังจากนั้นคนเริ่มยากลำบาก เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ถือครองที่ดิน
“การกระชากขึ้นของราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เกินกว่ารายได้-รายจ่ายในการค้าขายของคน เป็นตัวสร้างปัญหาทั้งหมดในเชิงโครงสร้าง แต่ให้ประโยชน์กับคนที่เข้าใจเกมและคนที่ถือครองอสังหาริมทรัพย์”
แม้จะรู้ว่าอสังหาฯเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อ และการถือครองอสังหาฯจะทำให้ชนะเงินเฟ้อได้ แต่พิชัยยอมบอกว่า ถ้าจะเริ่มลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในตอนนี้ “แทบจะไม่ทันแล้ว” เพราะราคาอสังหาฯพุ่งขึ้นไปมากแล้ว คนส่วนมากไม่สามารถเข้าถึงอสังหาริมทรัพย์ได้แล้ว
ส่วนการจะลงทุนค้าขายหรือทำธุรกิจแล้วเก็บเงินซื้ออสังหาริมทรัพย์เหมือนคนในสมัยก่อนนั้นก็ยากกว่าสมัยก่อนมาก เพราะในปัจจุบันมีคู่แข่งมาก มีคนขายมาก-คนซื้อน้อย ตรงข้ามกับในอดีตที่คนขายน้อย-คนซื้อมาก ถึงแม้ว่าในยุคปัจจุบัน มีเทคโนโลยี มีแพลตฟอร์มต่างๆ ให้สามารถหาเงินได้โดยไม่ต้องลงทุน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้ มีเพียงคนเก่งๆ บางคนเท่านั้นที่ทำสำเร็จ
จากข้อถกเถียงเรื่องเงินเฟ้อ ขยับมาที่ประเด็นว่า ลงทุนในสินทรัพย์ไหนดี ? ซึ่งประเด็นดีเบตหลักๆ อยู่ที่ บิตคอยน์
นักลงทุนหรือผู้สนใจบิตคอยน์ในไทยรับรู้กันพอสมควรว่า ดร.โสภณ พรโชคชัย ไม่สนับสนุนการลงทุนในบิตคอยน์ ชนิดที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็น ‘แอนตี้แฟน’
บนเวทีนี้ ดร.โสภณอธิบายว่า บิตคอยน์ราคาเพิ่มขึ้นเพราะมีคนซื้อ หากไม่มีคนซื้อ บิตคอยน์ก็จะไม่มีราคา จริงอยู่ว่า ณ ปัจจุบันบิตคอยน์มีคนซื้อ ตลาดร้อนแรง แต่ในอนาคตจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีคริปโตเคอร์เรนซีสกุลอื่นที่มีเทคโนโลยีใหม่และดีกว่าบิตคอยน์ ซึ่งหากมีตัวใหม่ที่ดีกว่ามาแทนบิตคอยน์ คนก็จะย้ายไปลงทุนในเหรียญใหม่ แล้วราคาบิตคอยน์ก็จะเสื่อมไป
ถึงแม้ว่าไม่สนับสนุนการลงทุนในบิตคอยน์ แต่ ดร.โสภณบอกว่า หากใครอยากลองลงทุนด้วยความรู้สึกอยากลอง ชอบความท้าทาย ก็ลองได้ แต่ควรตระหนักว่าการลงทุนมีความเสี่ยง อาจจะไม่ได้กำไรอย่างที่คาดหวัง และไม่ควรลงทุนด้วยเงินจำนวนมากนัก
พิชัย จาวลา ไม่ได้ตัดสินและไม่ได้ตั้งคำถามว่าบิตคอยน์ดีหรือไม่ดี แต่ด้วยโจทย์ที่จะเป็น ‘คนส่วนน้อย’ เขาสรุปว่าจะไม่ลงทุนในบิตคอยน์ เพราะมองว่าเลยเวลาที่เหมาะสมมาแล้ว เนื่องจาก ณ ปัจจุบันบิตคอยน์ร้อนแรงมากๆ แล้ว คนส่วนมากรับรู้ข้อดีของบิตคอยน์กันหมดแล้ว และมีเหตุผลสนับสนุนมากมายว่าบิตคอยน์จะเติบโตต่อไป ดังนั้น เขาจะไม่เข้าไปเป็นคนส่วนมาก
พิชัยชี้ให้พิจารณาในเชิงจิตวิยาของนักลงทุนว่า ณ จุดที่เหตุผลทุกอย่างสนับสนุนว่าสินทรัพย์ตัวนี้จะเติบโตต่อไปได้อย่างดี จะมีคนต้องการซื้อมากที่สุด ในจุดนั้นเองที่คนที่รอจังหวะขายสินทรัพย์นั้นจะเทขายทำกำไร ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินทรัพย์นั้นร่วงลง และคนที่เข้าซื้อในราคาที่สูงจะขาดทุน หรือ ‘ติดดอย’
“ผมมองว่าไม่ว่าจะเป็นของดีแค่ไหนก็ตาม ถ้าถึงเวลาที่มากเกินไปก็ต้องลง ส่วนของที่ไม่ดีแค่ไหนก็ตาม ถ้าราคาต่ำกว่ามูลค่ามากเกินไปก็ต้องขึ้น เพราะฉะนั้น วันนี้โจทย์ของผมคือผมจะเป็นคนส่วนน้อย คำว่า ‘ดีเกินไป’ หรือ ‘ร้อนแรงเกินไป’ มันตีความยาก เถียงกันได้ไม่รู้จบว่าตอนนี้มันแพงเกินไปหรือยัง ร้อนแรงเกินไปหรือยัง มันวัดยาก โดยหลักการไม่มีอะไรที่สูงแล้วไม่ลง ประเด็นคือว่าเราจะจับจังหวะตรงนั้นยังไง เราจะรู้ได้ยังไงว่าตอนนั้นสูงเกินไปแล้ว นี่เป็นที่มาของทฤษฎีคนส่วนน้อย ซึ่งเวลาที่ผมคุยกับหลายๆ คน เขาจะเห็นด้วยในหลักการว่าถ้าคนส่วนใหญ่ซื้อกันหมดเมื่อไหร่หรือมันร้อนแรงเกินไปเมื่อไหร่ มันต้องลง เพียงแต่มันจะใช่ตอนนี้หรือเปล่า หรือจะเป็นตอนไหน” พิชัยอธิบายแนวคิด
“ผมคงไม่ซื้อบิตคอยน์ เพราะว่าในมุมมองของผม ตอนนี้มันร้อนแรงเกินไป การตีความในแบบของผมคือ ถ้าเรามีเพื่อน 100 คน แล้วเพื่อนเรามากกว่า 95 คนซื้อหรือถือบิตคอยน์ ผมถือว่าอันตรายแล้ว วันนี้ผมดูรอบตัว ร้อยละ 98-99 ไปทางเดียวกันหมด คือ รู้สึกว่ามันดี มันยังไม่แพง มันยังไปต่อได้แน่ๆ แต่จริงๆ แล้วจุดที่อันตรายที่สุดคือจุดที่ทุกคนบอกว่าไปต่อได้แน่ๆ พอเหตุผลทุกข้อบอกว่ามันไปต่อแน่ๆ มนุษย์ทุกคนจะอยากซื้อตรงนั้น ซึ่งผมว่าจุดนั้นมันคือตอนนี้ ตอนนี้อยู่ในจุดที่เหตุผลทุกข้อบอกว่าขึ้นต่อแน่ๆ นั่นแหละผมจะขายตรงนั้น เพราะว่าตรงนั้นจะมีดีมานด์มากที่สุด คนส่วนน้อยที่เขาถือมาก่อนและรอจังหวะที่จะขาย เขาจะขายตรงนั้น”
ด้าน ท๊อป Bitkub เจ้าภาพของเวทีดีเบตที่แม้จะวางตัวเป็นทีมกรรมการ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าตนเองเป็นฝ่ายที่เชื่อมั่นในบิตคอยน์
ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา กล่าวว่า เข้าใจมุมมองของพิชัยเรื่องราคาในระยะสั้นที่อาจจะมีการร่วงลง เพราะราคาสูงเกินมูลค่าที่แท้จริง หรือโตเร็วเกินกว่าพื้นฐาน แต่ในระยะยาวยังมั่นใจว่ามูลค่าของบิตคอยน์จะตามทันราคา และปัจจัยพื้นฐาน (fundamental) ของบิตคอยน์จะดีขึ้นเรื่อยๆ ในระยะยาว
จิรายุสมองว่า การร่วงลงของราคาเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ แต่เป็นวัฏจักรที่ต้องหลุดพ้นได้ เหมือนที่บิตคอยน์เคยติดดอยมาแล้วในปี 2013 ปี 2017 ปี 2020 และปี 2024 แต่ในที่สุดก็หลุดดอยและเติบโตขึ้นได้เรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม จิรายุสก็ไม่ปฏิเสธคำถามของ ดร.โสภณที่ว่า อาจจะมีเทคโนโลยีอื่นที่ดีกว่ามาดิสรัปต์บิตคอยน์ในอนาคต เขายอมรับว่าข้อสันนิษฐานของ ดร.โสภณมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ขณะเดียวกัน เขาก็ตั้งคำถามกลับว่า แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าบิตคอยน์จะไม่คงอยู่ในระยะยาว
ปัจจัยตัดสินชี้ขาดสำหรับท๊อป Bitkub ว่าจะลงทุนในสินทรัพย์ไหนดี คือ ‘ความมีอยู่อย่างจำกัด’ ซึ่งเขามองว่าสินทรัพย์ที่มีจำกัดจะเสื่อมค่าลงยากกว่าสินทรัพย์ที่มีไม่จำกัด
“ถ้าถามผมว่า ถ้าผมมีเงินหมื่นล้านแสนล้าน ผมจะลงทุนในไหนเพื่อให้เงินผมไม่เกิด dilution ผมมองว่า ถ้าถือเงินสด อเมริกาก็ปรินต์เงินออกมาได้เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเงินสดไม่ใช่ทางเลือก ถ้าพูดถึงอสังหาฯ ตอนนี้ไม่มีเด็กเกิดใหม่ ถ้าผมเอาเงินหมื่นล้านแสนล้านไปซื้อสังหาฯ ใครจะมาซื้อต่อจากผม ผมว่าอสังหาฯน่าจะเป็นโอเวอร์ซัพพลาย เพราะไม่มีเด็กเกิดใหม่มาซื้อแล้ว
“เหลือทองคำ ซึ่งในระยะสั้นผมเห็นด้วยกับการลงทุนในทองคำ เพราะว่าอเมริกากับจีนทะเลาะกันยังไม่ถึงจุดแย่สุด มันจะแย่กว่านี้อีก แต่มันน่ากลัวตรงว่ามีการสร้างสิ่งสังเคราะห์ต่างๆ แล้วในอนาคตเราจะสร้างทองคำสังเคราะห์ได้เหมือนที่สร้างเพชรสังเคราะห์ ดังนั้น ผมคงไม่เอาเงินของผมไปซื้อทองคำเพื่อเก็บไว้ในระยะยาว
“แล้วจะเหลืออะไรให้ถือ ? หุ้นก็เหลือแต่หุ้นเทคโนโลยีที่ให้ผลตอบแทนเกินกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด แต่หุ้นเทคโนโลยีก็สามารถเพิ่มหุ้นได้ มันเกิด dilution ขึ้นได้ทุกเมื่อ ผมต้องการลงทุนในอะไรที่มันจำกัดจริงๆ มันก็เหลือแค่ คือบิตคอยน์ที่มีแค่ 21 ล้านเหรียญ ในระยะสั้นถ้าผมมีเงินหมื่นล้านแสนล้าน ผมไม่กลัวดอย เพราะว่าผมมีเงินเย็น ถ้าราคาร่วงลงผมก็ปล่อยทิ้งไว้ สี่ปีผมก็ยังรอได้ แล้ววันที่มูลค่ามันโตมากพอ ผมก็จะหลุดดอย เหมือนกับสามสี่ระลอกที่ผ่านมา
“แต่ที่ ดร.โสภณพูดก็ถูกตรงที่ว่า ถ้ามันมีตัวใหม่ที่ดีกว่าบิตคอยน์ล่ะ ? ข้อเสียของบิตคอยน์คือความโปร่งใสของมัน ทำให้ผู้ถือสูญเสียความเป็นส่วนตัว ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่อาจจะมีโปรโตคอลอื่นสามารถปิดจุดอ่อนนี้ได้ และมีจำนวนจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญเหมือนกัน นั่นก็อาจจะเป็นความเสี่ยงของบิตคอยน์” ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Bitkub กล่าว
ด้านดิว-วีรวัฒน์ นักลงทุนผู้มั่งคั่งมีหลักการส่วนตัวว่า ‘เอาทุกอย่างที่ได้เงิน’
ดิวบอกว่า มักจะมีคนถามเขาว่าลงทุนหุ้นตัวไหนดี ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่สามารถหยั่งรู้อนาคตว่าอะไรจะดีในอนาคต ดังนั้น หลักการของเขาคือ ณ ปัจจุบันมองเห็นโอกาสอะไรก็ลงทุนในนั้น ดังนั้น จึงไม่ปฏิเสธการลงทุนในสินทรัพย์ใด
“เหตุการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้น ในฐานะที่เราเป็นนักลงทุนอะไรที่ทำเงินได้ผมเอาหมด ผมไม่แคร์ว่ามันจะเป็นอสังหาฯ บิดชตคอยน์ หรือขายขยะรีไซเคิล อะไรได้เงินผมทำหมด อะไรที่มีโอกาสผมทำหมด”
ดิวเล่าว่า ด้วยหลักการที่ว่ามองเห็นโอกาสอะไรก็ทำหมด เมื่อหลายปีก่อนเขาเคยทำเหมืองขุดบิตคอยน์ในตอนที่บิตคอยน์มีราคาเพียงเหรียญละ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่เขาไม่เคยเก็บไว้เลย ขุดได้เท่าไหร่ก็แลกเป็นเงินทั้งหมด ซึ่ง ณ เวลานั้น ทำได้เฉลี่ยวันละ 30,000 บาท ขณะที่มีต้นทุนค่าไฟเดือนละ 400,000 บาท
“ผมจำไม่ได้ว่าขุดได้ทั้งหมดเท่าไหร่ ถ้าตั้งแต่วันที่เริ่มขุดจนถึงวันนี้ผมไม่ขายเลย ผมน่าจะได้เป็นพันล้าน แต่ตอนนั้นผมได้มารวมแล้วไม่ถึง 10 ล้าน”
นี่คือตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการทำเงินจากโอกาสที่มองเห็น ณ เวลานั้นๆ ของวีรวัฒน์ วลัยเสถียร ซึ่ง ณ เวลานั้น เขาพอใจกับรายได้ที่ทำได้ แม้ว่าเมื่อมองย้อนกลับไปจากปัจจุบันแล้วเขารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เก็บบิตคอยน์ไว้เลย
“วันนั้นถ้าผมไม่ทำเหมืองแต่เอาเงินทุกบาทที่มีไปซื้อบิตคอยน์แล้วผมรอมาถึงวันนี้ ตอนนี้ผมน่าจะมีเงิน 5,000 ล้าน แต่ผมไม่ทำเพราะว่ากลัว ผมจะบอกว่ามันไม่มีใครรู้อนาคตหรอก วันนี้มันหนึ่งบิตคอยน์ประมาณ 100,000 กว่าดอลลาร์ มันอาจจะขึ้นไป 150,000 ก็ได้ หรือมันอาจจะลงไป 50,000 ก็ได้ อย่างที่เขาบอกว่า การลงทุนมีความเสี่ยง แต่ถ้าในช่วงสั้นๆ เรามีโอกาสทำกำไร เราก็ควรทำ อันนี้คือมุมมองของผม” ดิวแชร์มุมคิดในแบบของตัวเอง
ฝั่ง CK ซีอีโอ Fastwork ชัดเจนว่าเชียร์หุ้นสหรัฐ เขาแนะนำโดยอ้างถึงคำกล่าวของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ว่า ถ้าใครไม่มีความรู้เรื่องหุ้น ไม่อยากเรียนรู้ หรือไม่มีเวลาเรียนรู้ หนึ่งในวิธีลงทุนเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่ดีที่สุด คือ การซื้อดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นที่ดีที่สุด 500 บริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐ
แม้การลงทุนใน S&P 500 จะดี แต่ CK ก็บอกอีกว่า การลงทุนใน S&P 500 จะไม่ทำให้ใครรวย ถ้าอยากรวยต้องซื้อหุ้นรายตัวที่ทำผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาด เขาให้ข้อมูลว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา S&P 500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10% นักลงทุนควรทำผลตอบแทนให้ได้มากกว่าปีละ 10% จึงจะถือว่ารวยขึ้น
CK แนะอีกว่า วิธีชนะ S&P 500 มีหลายวิธี หนึ่งในนั้นคือ การซื้อหุ้นรายตัว แต่ต้องเป็นหุ้นเติบโตที่ให้ผลตอบแทนปีละมากกว่า 10% ซึ่งมักจะเป็นหุ้นบริษัทเทคโนโลยี
CK ให้ข้อมูลอีกว่า ปีนี้เราอยู่ช่วงเวลาที่ตลาดทุนเกิดความผิดธรรมชาติที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในประวัติศาสตร์ของโลก นั่นคือ การที่ดอกเบี้ยสูง แต่ตลาดหุ้นยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วในช่วงดอกเบี้ยสูงตลาดหุ้นจะต้องปรับตัวลง แต่ความโชคดีของตลาดหุ้นสหรัฐฯคือ มีการเปิดตัว OpenAI เมื่อปลายปี 2022 ทำให้โลกพบ S-Curve ใหม่ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในยุค Dot-com bubble และอีกครั้งคือตอนที่ Apple เปิดตัว iPhone แต่ CK มองว่า AI เป็น S-Curve ที่ใหญ่กว่าสอง S-Curve ที่ว่ามา เขามองว่า AI ยิ่งใหญ่เปรียบเสมือนการที่โลกมีไฟฟ้าใช้
สุดท้ายแล้ว CK สรุปว่า ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหุ้นรายตัว หรือลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ ต้องทำผลตอบแทนให้ได้มากกว่า 10% จึงจะรวยขึ้น และอีกวิธีสุดโต่งที่จะรวยได้คือ การลงทุนทำธุรกิจของตนเอง ซึ่งมาพร้อมความเสี่ยงที่สูงมากกว่าการลงทุนในหุ้น แต่ถ้าทำสำเร็จก็จะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าด้วย