
ไม่ผิดไปจากที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (Fed) จะลดดอกเบี้ยลงอีกครั้งในการประชุมปลายเดือนตุลาคมนี้ โดยเฟดประกาศลดดอกเบี้ย 0.25% พร้อมประกาศยุตินโยบายการเงินแบบเข้มงวด ถึงอย่างนั้น ตลาดทุนก็ไม่ดีใจ เพราะประธานเฟดบอกกับสื่อว่าการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนั้นยังเว้นได้ ไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
วันที่ 29 ตุลาคม 2024 เวลา 14.00 น. ตามเวลา EDT สหรัฐอเมริกา ซึ่งตรงกับเวลา 01.00 น. วันที่ 29 ธันวาคม ตามเวลาประเทศไทย ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) เผยผลการประชุมตัดสินใจนโยบายการเงินว่า ที่ประชุมมีมติไม่เอกฉันท์ (10 ต่อ 2) ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 เบซิสพอยต์ (Basis Point) หรือ 0.25% นำอัตราดอกเบี้ยลงจากอัตรา 4.25% ถึง 4.00% สู่อัตรา 3.75% ถึง 4.00% พร้อมประกาศจะหยุดการลดขนาดงบดุลของธนาคารกลาง หรือยุติมาตรการคุมเข้มเชิงปริมาณ (QT) ในวันที่ 1 ธันวาคมนี้
หลังการประกาศลดดอกเบี้ย ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯยังทรงตัวอยู่ในระดับใกล้เคียงกับระดับเปิดตลาดตอนเช้าแต่แล้วก็ร่วงลงในเวลา 14.40 น. (เวลาสหรัฐฯ) ขณะที่เจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯแถลงข่าว ซึ่งพาวเวลล์บอกว่า จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้งในเดือนธันวาคมหรือไม่นั้น “ยังไม่มีการสรุปไว้ล่วงหน้า” และ “ไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” กล่าวคือ ยังมีความเป็นไปได้ที่จะไม่ลด
แถลงการณ์หลังการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลกางสหรัฐฯระบุว่า ตัวชี้วัดที่มีอยู่ชี้ให้เห็นว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจมีการขยายตัวในระดับปานกลาง การจ้างงานชะลอตัวลงในปีนี้ และอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำมาจนถึงเดือนสิงหาคม และตัวมีชี้วัดล่าสุดสอดคล้องกับสถานการณ์เหล่านี้ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อขยับขึ้นนับตั้งแต่ต้นปีและยังคงอยู่ในระดับสูง
“คณะกรรมการฯมุ่งมั่นที่จะบรรลุการจ้างงานสูงสุดและอัตราเงินเฟ้อที่ 2% ในระยะยาว ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับสูง และคณะกรรมการให้ความสนใจต่อความเสี่ยงทั้งสองด้านของภารกิจคู่ขนาน (การจ้างงานและเสถียรภาพราคา) และประเมินว่า ความเสี่ยงด้านลบต่อการจ้างงานได้เพิ่มสูงขึ้น ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
“เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของคณะกรรมการฯ และเมื่อพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงในความสมดุลของความเสี่ยง คณะกรรมการจึงตัดสินใจปรับลดช่วงเป้าหมายสำหรับอัตราดอกเบี้ยลง 0.25 จุดเปอร์เซ็นต์ มาอยู่ที่อัตรา 3.75% ถึง 4.00%
“ในการพิจารณาการปรับเปลี่ยนช่วงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม คณะกรรมการฯจะประเมินข้อมูลที่เข้ามา แนวโน้มที่กำลังเปลี่ยนแปลง และความสมดุลของความเสี่ยงอย่างรอบคอบ นอกจากนี้ คณะกรรมการฯตัดสินใจที่จะยุติการลดการถือครองหลักทรัพย์โดยรวมในวันที่ 1 ธันวาคม คณะกรรมการฯมีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนการจ้างงานสูงสุด และทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายที่ 2%
“ในการประเมินจุดยืนที่เหมาะสมของนโยบายการเงิน คณะกรรมการฯจะติดตามผลกระทบของข้อมูลที่เข้ามาต่อแนวโน้มเศรษฐกิจต่อไป คณะกรรมการฯพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนจุดยืนของนโยบายการเงินตามความเหมาะสม หากมีความเสี่ยงที่อาจขัดขวางการบรรลุเป้าหมายของคณะกรรมการฯ การประเมินของคณะกรรมการฯจะคำนึงถึงข้อมูลที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงข้อมูลภาวะตลาดแรงงาน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อและการคาดการณ์เงินเฟ้อ รวมถึงพัฒนาการทางการเงินและการระหว่างประเทศ”
ในการแถลงข่าว เจอโรม พาวเวลล์ กล่าวว่า แม้ว่าหน่วยงานของรัฐบาลปิดทำการ แต่ธนาคารกลางสหรัฐฯยังคงได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเศรษฐกิจผ่านแหล่งข้อมูลอื่นๆ นอกเหนือจากข้อมูลของรัฐบาล ซึ่งความไม่แน่นอนจำนวนมากอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในการประชุมในเดือนธันวาคม
“เราคงไม่สามารถรับรู้ภาพรวมของสถานการณ์ได้อย่างละเอียด แต่ผมคิดว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางเศรษฐกิจในทางใดทางหนึ่ง ผมคิดว่าเราจะรับข้อมูลนั้นผ่านรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ”
“ดังนั้นในแง่ของผลกระทบต่อการประชุมในเดือนธันวาคม ... เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากมีความไม่แน่นอนสูงมาก นั่นอาจเป็นข้อโต้แย้งที่สนับสนุนความระมัดระวังในการเคลื่อนไหว (ลดดอกเบี้ย) แต่เราคงต้องรอดูกันต่อไปว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร” ประธานเฟดกล่าว
พาวเวลล์บอกว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธันวาคมนั้น “ยังไม่มีการสรุปไว้ล่วงหน้า” และเขาบอกว่า การลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม “ไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” กล่าวคือ ยังมีความเป็นไปได้ที่จะไม่ลด
พาวเวลล์กล่าวถึงผลกระทบจากภาษีศุลกากรของทรัมป์ด้วย หากหักภาษีศุลกากรออกจากสมการ อัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันก็ไม่ได้อยู่ไกลจากเป้าหมาย 2% มากนัก พร้อมบอกว่า ธนาคารกลางประมาณการว่าภาษีศุลกากรมีส่วนประมาณ 50% หรือ 60% ในการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อหลักของเฟด และนั่นหมายความว่าหากไม่รวมภาษีศุลกากร ดัชนี PCE พื้นฐานอาจอยู่ในช่วง 2.3% ถึง 2.4%
“เรื่องเงินเฟ้อจากภาษีศุลกากร ในกรณีพื้นฐานก็คือ มันจะเกิดขึ้นและอาจจะเพิ่มมากขึ้นอีก แต่มันจะเป็นการเพิ่มขึ้นเพียงครั้งเดียว” ประธานเฟดกล่าว