ราคาทองคำพุ่งไม่หยุด ทองไทยทะลุ 61,000 บาทแล้ว ท่ามกลางแรงหนุนจากการชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ , เก็งเฟดลดดอกเบี้ย และความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในฝรั่งเศสและญี่ปุ่น
ข้อมูลจากสมาคมค้าทองคำรายงานการเปลี่ยนแปลงราคาทอง (วันที่ 7 ต.ค. 2568 เวลา 17.02 น.) ปรับครั้งที่ 18 รวมแล้วขึ้นมา 450 บาทต่อบาททองคำ
บทความนี้ SPOTLIGHT พาทุกคนไปเปิดเหตุผลทำไมราคาทองคำถึงพุ่ง to the moon โดยบทวิเคราะห์จาก YLG และ ฮั่วเซ่งเฮง
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่าราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 3,977.34 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ในวันที่ 7 ต.ค. 2568 (เวลา11.00 น.) เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนใหม่เข้ามาทั้งกรณีการชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐ ฯ ที่อาจส่งผลให้การเผยแพร่รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์นี้เลื่อนออกไป ซึ่งจะเพิ่มความไม่แน่นอนต่อทิศทางเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ ฯ (เฟด) ที่ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ภายในสิ้นเดือนนี้
นอกจากนี้ยังได้รับแรงสนับสนุนจากความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสงครามในยุโรปตะวันออก หรือความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ทำให้เกิดความกังวลว่าความเสี่ยงจะบานปลาย ซึ่งมักจะผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงธนาคารกลางทั่วโลกยังคงซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังมีแรงซื้อจากนักลงทุนรายย่อยผ่านกองทุน ETF ซึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นมากสุดในรอบกว่า 3 ปี และยังมีทิศทางขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยหนุนจากการเผชิญวิกฤตทางการเมืองของฝรั่งเศส หลังนายกรัฐมนตรีคนใหม่ลาออกภายในระยะเวลาเพียง 14 ชั่วโมงหลังจัดตั้งคณะรัฐมนตรีส่งผลให้ ดัชนี CAC-40 ของฝรั่งเศสร่วงลงมากที่สุดในรอบ 6 สัปดาห์ รวมถึงให้ดัชนี Stoxx 600 ของภูมิภาคยุโรปติดลบ
ขณะเดียวกันทองคำมีปัจจัยบวกใหม่จากฝั่งเอเชียเพิ่มเข้ามาจากกรณีที่ พรรคเสรีประชาธิปไตย ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ได้เลือกซานาเอะ ทาคาอิจิ สมาชิกสภานิติบัญญัติสายอนุรักษ์นิยม ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศ โดยทาคาอิจิถูกมองว่าเป็นผู้นำที่สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และได้ส่งสัญญาณการชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไป จึงเป็นบวกต่อทองคำ
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนทองคำในช่วงนี้ YLG มองว่าราคาทองคำมีโอกาสเคลื่อนไหวในทิศทางบวกได้ต่อเนื่อง มองเป้าหมาย 4,000 และ 4,435 ดอลลาร์ต่อออนซ์ตามลำดับ ส่วนราคาทองคำในประเทศมีทิศทางเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับทองคำในตลาดโลก โดยมองเป้าทองไทยที่ 61,600-68,000 บาทต่อบาททองคำ (คำนวนจากค่าเงินบาทระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ)
ส่วนฮั่วเซ่งเฮงมอง ความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และตะวันออกกลางยังเป็นชนวนความเสี่ยง แต่แรงส่งรอบล่าสุดมาจาก ‘วิกฤติการเมืองสหรัฐฯ’ หลังสภาคองเกรสไม่ผ่านงบประมาณ จนทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะ “ชัตดาวน์” (Government Shutdown) ตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งฉุดความเชื่อมั่นตลาด กดดันดอลลาร์สหรัฐฯ และหนุนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ราคาทองจึงทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งในช่วงเริ่มชัตดาวน์ ขณะที่นักลงทุนต่างคาดการณ์ว่ามีโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น สืบเนื่องจากสภาพแวดล้อมและข้อมูลทางเศรษฐกิจล่าช้าหรือเลื่อนประกาศออกไป เพราะหน่วยงานรัฐปิดทำการ
โดยต้นตอของภาวะชัตดาวน์ เกิดจากความล่าช้าในการผ่าน Continuing Resolution (CR) สะท้อนความแตกแยกเชิงโครงสร้างทางการเมืองสหรัฐฯ ฝั่งเดโมแครตยืนยันผูกงบฯ กับการขยายเงินอุดหนุนเบี้ยประกันสุขภาพภายใต้ ACA เพื่อช่วยเหลือครัวเรือนรายได้น้อย ขณะที่รีพับลิกัน (นำโดยประธานสภาผู้แทนราษฎร ไมค์ จอห์นสัน) ต้องการผลักดันงบชั่วคราวถึง 21 พฤศจิกายน 68 โดยไม่พ่วงนโยบายอื่น และแยกถกเรื่องสาธารณสุขต่างหาก
การปิดหน่วยงานรัฐทำให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางราว 750,000 – 850,000 คน ต้องถูกพักงานชั่วคราวโดยไม่ได้รับค่าจ้าง (ประมาณ 400 ล้านดอลลาร์/วัน) ส่วนเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ (ATC) และสำนักงานความปลอดภัยการขนส่ง (TSA) ยังต้องทำงานต่อไปโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน ขณะเดียวกัน ข้อมูลสำคัญจากสำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) ทั้งตัวเลขการจ้างงานรายเดือนและอัตราเงินเฟ้อ ก็อาจถูกเผยแพร่ล่าช้าออกไป ส่งผลให้ภาคธุรกิจ นักลงทุน ผู้กำหนดนโยบายมองภาพไม่ชัดเจน และทำให้ความผันผวนในตลาดการเงินสูงขึ้น ซึ่งเอื้อต่อสินทรัพย์หลบภัยอย่างทองคำ
ความน่าจะเป็นล่าสุดชี้ให้เห็นว่า การชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ อาจยืดเยื้อกินเวลาโดยเฉลี่ยราว 11 วัน ทั้งนี้ นักลงทุนส่วนมากเชื่อว่ามีโอกาสสูงถึง 67% ที่รัฐบาลจะกลับมาเปิดทำการหลังวันที่ 15 ตุลาคม 68 โดยมีการประเมินความน่าจะเป็น ดังต่อไปนี้
ขณะที่ข้อมูลจาก Forbes สะท้อนภาพ ‘ความผิดปกติแต่เกิดขึ้นจริง’ ในปี 2024 – 2025 เมื่อทองคำและหุ้นสหรัฐฯ ทำสถิติสูงสุดพร้อมกันหลายครั้ง ซึ่งพบได้ไม่บ่อยนัก เพราะทองคำมักพุ่งขึ้นเมื่อความเสี่ยงเพิ่ม แต่หุ้นมักพุ่งขึ้นเมื่อตลาดมีความเชื่อมั่น หรือมีความชัดเจน
โดยในปี 2025 เกิดเหตุการณ์ที่ทองคำและหุ้นทำจุดสูงสุดในวันเดียวกันแล้ว 6 ครั้ง และเมื่อปี 2024 เกิดขึ้นถึง 10 ครั้ง ขณะที่ตลอดช่วงปี 1970 – 2023 เกิดเพียง “สองครั้ง” เท่านั้น (ในปี 1972) ถือเป็นเครื่องบ่งชี้ความแปลกตาทางสถิติในรอบครึ่งศตวรรษ และเข้ากับบรรยากาศความไม่แน่นอนล่าสุดจากภาวะชัตดาวน์ที่เกื้อหนุนฝั่งทองคำ
การที่สินทรัพย์ทั้งสองประเภทนี้ปรับขึ้นพร้อมกัน จึงสะท้อนปัจจัยขับเคลื่อนหลายประการที่สอดคล้องกัน ตั้งแต่ ดอลลาร์อ่อนค่าลง ความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและนโยบาย รวมทั้งการที่นักลงทุนกระจายความเสี่ยงพร้อมกันทั้งฝั่งเสี่ยงและฝั่งหลบภัย
ทั้งนี้ เมื่อย้อนดูราคาทองกับภาวะชัตดาวน์สมัยทรัมป์ 1 จะพบว่า
ฮั่วเซ่งเฮงประเมินว่า จากข้อมูลทางสถิติ ภาวะชัตดาวน์ครั้งที่ 1 และ 2 กินระยะเวลาเพียงแค่ช่วงสั้น ๆ และเกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งแตกต่างกับครั้งที่ 3 ที่ยืดเยื้อยาวนานถึง 35 วัน ทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่า ตราบใดที่สหรัฐฯ ยังอยู่ในภาวะชัตดาวน์ ราคาทองอาจปรับตัวลงได้ยาก ในทางกลับกัน แม้รัฐบาลจะสามารถบรรลุข้อตกลงด้านงบประมาณได้ ราคาทองก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ เพราะนักลงทุนยังคงมีความกังวลต่อผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ดังนั้น แนวโน้มที่ราคาทองคำจะอยู่เหนือระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือทองคำแท่งในประเทศบาทละ 61,500 บาทขึ้นไป มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง
อ้างอิง : สมาคมทองคํา, YLG, ฮั่วเซ่งเฮง