Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
SCB CIO-BlackRockชูหุ้นสหรัฐฯ-หุ้นAI–บอนด์สหรัฐเสริมพอร์ตรับความผันผวน
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

SCB CIO-BlackRockชูหุ้นสหรัฐฯ-หุ้นAI–บอนด์สหรัฐเสริมพอร์ตรับความผันผวน

29 ก.ค. 68
15:15 น.
แชร์

ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก SCB Chief Investment Office (CIO) ได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองกับ BlackRock บริษัทจัดการสินทรัพย์ระดับโลก โดยเห็นพ้องว่าโลกการเงินปัจจุบันไม่อาจใช้กรอบคิดแบบเดิมได้อีกต่อไปในภาวะที่ความไม่แน่นอนยังคงทวีความรุนแรง

BlackRock สรุป 3 แนวทางหลักในการลงทุน ได้แก่ การเน้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่งจากกำไรและพลังของ AI การจัดพอร์ตแบบ Active เพื่อรับมือกับความผันผวนทางมหภาค และการลงทุนระยะยาวในโครงสร้างพื้นฐาน AI และ private capital ซึ่ง SCB CIO เห็นพ้อง โดยเฉพาะกับธีม AI และยังให้น้ำหนักกับตลาดหุ้นญี่ปุ่น และตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ อายุเฉลี่ยสั้นถึงกลาง รวมถึงทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยง

ด้านกลยุทธ์การจัดพอร์ต SCB CIO แนะนำให้พอร์ตหลักเน้นลงทุนระยะยาวในพันธบัตรและหุ้นกู้คุณภาพดีจากสหรัฐฯ พร้อมหุ้นจากสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน (H-Shares) อินเดีย และทองคำ ส่วนพอร์ตเสริมระยะสั้นควรเน้นการเติบโตจากดัชนี Nasdaq 100 หุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก หุ้นจีน H-Shares และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพื่อรองรับทั้งความเสี่ยงและโอกาสจากเมกะเทรนด์ AI อย่างรอบคอบและยืดหยุ่น

มุมมองการลงทุนครึ่งหลังปี 2568 ท่ามกลางความไม่แน่นอนระดับโลก

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า จากมุมมองการลงทุนที่ SCB CIO ได้แลกเปลี่ยนกับ BlackRock ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนระดับโลก พบว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ตลาดการเงินโลกต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเข้ามาเปลี่ยนภาพการลงทุนแบบดั้งเดิม ที่พึ่งพาปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจมหภาค

อย่างไรก็ตาม แม้เสถียรภาพเชิงมหภาคในระยะยาวลดลง (losing long-term macro anchors) แต่กฎพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงจำกัดผลกระทบจากนโยบายที่เกิดขึ้นในระยะสั้นอย่างมีนัยสำคัญ โดย BlackRock Investment Institute ได้สรุปแนวทางการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่

  • การลงทุนที่ตอบสนองสถานการณ์ปัจจุบัน (investing in the here and now) แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและนโยบายมหภาค แต่กฎพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เช่น ความจำเป็นของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการออกพันธบัตรเพื่อระดมทุนจากนักลงทุนต่างชาติ หรือข้อจำกัดเชิงกายภาพในการปรับห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างฉับพลัน ทำให้การเปลี่ยนแปลงของการค้าโลกและตลาดทุนเป็นไปอย่างจำกัด แนวโน้มเศรษฐกิจระยะสั้นจึงมีความแน่นอนมากกว่าระยะยาว ดังนั้น จึงให้ความสำคัญกับการจัดสรรสินทรัพย์แบบ Tactical (ภายใน 6–12 เดือน) มากขึ้น และยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเน้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากผลกำไรที่ยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยี ที่ได้รับแรงหนุนจาก AI
  • การลงทุนท่ามกลางภาวะเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคที่ลดลง (Taking risk with no macro anchor) เช่น อัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต เปิดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (alpha) ได้มากกว่าช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยจำเป็นต้องบริหารพอร์ตเชิงรุกมากขึ้น ทั้งนี้ กรอบการลงทุนแบบเก่า ที่เน้นบริหารแบบ passive หรือ พึ่งพาปัจจัยมหภาคอาจไม่เพียงพอ ขณะที่ ความสำเร็จในการสร้าง alpha ในยุคนี้ขึ้นอยู่กับการบริหารแบบ active ทักษะการเลือกหุ้นรายตัว และความสามารถในการปรับตัว
  • การลงทุนที่เน้นแรงขับเคลื่อนในโครงสร้างระยะยาว (Finding anchors in mega forces) แม้แนวโน้มเศรษฐกิจในระยะยาวยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่ Mega forces ยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว เช่น การเติบโตของ AI การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และบทบาทที่เพิ่มขึ้นของ Private capital ดังนั้น ควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์หรืออุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์โดยตรง ซึ่งต้องติดตามพัฒนาการของ Mega Trend เหล่านี้ ต่อแต่ละกลุ่มสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดรับกับภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

หากพิจารณาทั้ง 3 แนวทางร่วมกัน จะพบว่ากรอบแนวคิดของ BlackRock มุ่งเน้นให้นักลงทุนยังคง Stay Invested แทนที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงหรือรอให้ความแน่นอนกลับคืนมา โดยนักลงทุนต้องเปลี่ยนจากการพึ่งพาทิศทางเศรษฐกิจระยะยาวที่มีเสถียรภาพลดลง ไปสู่การคัดเลือกหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด (granular) และเจาะลึกในธีมที่มีโอกาสเติบโตเชิงโครงสร้าง

SCB CIO แนะจัดพอร์ตหลัก-เสริม จับเทรนด์ AI-ตราสารหนี้สหรัฐฯ-ทองคำ

ในการจัดพอร์ตลงทุน SCB CIO เห็นสอดคล้องกับแนวทางของ BlackRock โดยให้น้ำหนักพอร์ตหลักในหุ้นสหรัฐฯ และดัชนี Nasdaq 100 ที่ขับเคลื่อนด้วย AI พร้อมทั้งแนะนำเพิ่มน้ำหนักหุ้นเทคโนโลยีระดับโลก หุ้นจีน H-Share ซึ่งมีแนวโน้ม EPS เติบโตต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นและความคืบหน้าของเทคโนโลยี AI ในจีน รวมถึงหุ้นยุโรปที่ได้อานิสงส์จากนโยบายการคลัง หุ้นญี่ปุ่นที่ยังได้แรงหนุนจากการปฏิรูปธรรมาภิบาล หุ้นอินเดียที่ได้แรงจากอุปสงค์ในประเทศและการลดภาษี ตลอดจนหุ้นเกาหลีใต้ที่ยังมีมูลค่าถูกเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่อื่น

ในฝั่งตราสารหนี้ ทั้ง BlackRock และ SCB CIO ให้ความสำคัญกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และหุ้นกู้คุณภาพดีที่มี duration ระยะสั้นถึงกลาง ซึ่งให้ yield ในระดับสูง พร้อมรับความเสี่ยงจากความผันผวนของดอกเบี้ยได้น้อยกว่า ขณะที่หลีกเลี่ยงตราสารหนี้ระยะยาวที่ต้องการ term premium สูงเกินไปในยุคที่ภาระหนี้รัฐบาลทั่วโลกเพิ่มขึ้น

สุดท้าย ในมุมของทองคำ ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องว่าควรมีไว้ในพอร์ตการลงทุนเพื่อบริหารความเสี่ยง โดยเฉพาะในช่วงภาวะ risk-off ที่หุ้นและพันธบัตรอาจปรับตัวลงพร้อมกัน ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่สามารถให้ผลตอบแทนเชิงบวกได้ จึงควรใช้เป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงในบริบทของเงินเฟ้อสูง ความขัดแย้งทางการค้า และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินต่อไปในครึ่งหลังของปี

แชร์
SCB CIO-BlackRockชูหุ้นสหรัฐฯ-หุ้นAI–บอนด์สหรัฐเสริมพอร์ตรับความผันผวน