ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก SCB Chief Investment Office (CIO) ได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองกับ BlackRock บริษัทจัดการสินทรัพย์ระดับโลก โดยเห็นพ้องว่าโลกการเงินปัจจุบันไม่อาจใช้กรอบคิดแบบเดิมได้อีกต่อไปในภาวะที่ความไม่แน่นอนยังคงทวีความรุนแรง
BlackRock สรุป 3 แนวทางหลักในการลงทุน ได้แก่ การเน้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่งจากกำไรและพลังของ AI การจัดพอร์ตแบบ Active เพื่อรับมือกับความผันผวนทางมหภาค และการลงทุนระยะยาวในโครงสร้างพื้นฐาน AI และ private capital ซึ่ง SCB CIO เห็นพ้อง โดยเฉพาะกับธีม AI และยังให้น้ำหนักกับตลาดหุ้นญี่ปุ่น และตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ อายุเฉลี่ยสั้นถึงกลาง รวมถึงทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยง
ด้านกลยุทธ์การจัดพอร์ต SCB CIO แนะนำให้พอร์ตหลักเน้นลงทุนระยะยาวในพันธบัตรและหุ้นกู้คุณภาพดีจากสหรัฐฯ พร้อมหุ้นจากสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน (H-Shares) อินเดีย และทองคำ ส่วนพอร์ตเสริมระยะสั้นควรเน้นการเติบโตจากดัชนี Nasdaq 100 หุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก หุ้นจีน H-Shares และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพื่อรองรับทั้งความเสี่ยงและโอกาสจากเมกะเทรนด์ AI อย่างรอบคอบและยืดหยุ่น
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า จากมุมมองการลงทุนที่ SCB CIO ได้แลกเปลี่ยนกับ BlackRock ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนระดับโลก พบว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ตลาดการเงินโลกต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเข้ามาเปลี่ยนภาพการลงทุนแบบดั้งเดิม ที่พึ่งพาปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจมหภาค
อย่างไรก็ตาม แม้เสถียรภาพเชิงมหภาคในระยะยาวลดลง (losing long-term macro anchors) แต่กฎพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงจำกัดผลกระทบจากนโยบายที่เกิดขึ้นในระยะสั้นอย่างมีนัยสำคัญ โดย BlackRock Investment Institute ได้สรุปแนวทางการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่
หากพิจารณาทั้ง 3 แนวทางร่วมกัน จะพบว่ากรอบแนวคิดของ BlackRock มุ่งเน้นให้นักลงทุนยังคง Stay Invested แทนที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงหรือรอให้ความแน่นอนกลับคืนมา โดยนักลงทุนต้องเปลี่ยนจากการพึ่งพาทิศทางเศรษฐกิจระยะยาวที่มีเสถียรภาพลดลง ไปสู่การคัดเลือกหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด (granular) และเจาะลึกในธีมที่มีโอกาสเติบโตเชิงโครงสร้าง
ในการจัดพอร์ตลงทุน SCB CIO เห็นสอดคล้องกับแนวทางของ BlackRock โดยให้น้ำหนักพอร์ตหลักในหุ้นสหรัฐฯ และดัชนี Nasdaq 100 ที่ขับเคลื่อนด้วย AI พร้อมทั้งแนะนำเพิ่มน้ำหนักหุ้นเทคโนโลยีระดับโลก หุ้นจีน H-Share ซึ่งมีแนวโน้ม EPS เติบโตต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นและความคืบหน้าของเทคโนโลยี AI ในจีน รวมถึงหุ้นยุโรปที่ได้อานิสงส์จากนโยบายการคลัง หุ้นญี่ปุ่นที่ยังได้แรงหนุนจากการปฏิรูปธรรมาภิบาล หุ้นอินเดียที่ได้แรงจากอุปสงค์ในประเทศและการลดภาษี ตลอดจนหุ้นเกาหลีใต้ที่ยังมีมูลค่าถูกเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่อื่น
ในฝั่งตราสารหนี้ ทั้ง BlackRock และ SCB CIO ให้ความสำคัญกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และหุ้นกู้คุณภาพดีที่มี duration ระยะสั้นถึงกลาง ซึ่งให้ yield ในระดับสูง พร้อมรับความเสี่ยงจากความผันผวนของดอกเบี้ยได้น้อยกว่า ขณะที่หลีกเลี่ยงตราสารหนี้ระยะยาวที่ต้องการ term premium สูงเกินไปในยุคที่ภาระหนี้รัฐบาลทั่วโลกเพิ่มขึ้น
สุดท้าย ในมุมของทองคำ ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องว่าควรมีไว้ในพอร์ตการลงทุนเพื่อบริหารความเสี่ยง โดยเฉพาะในช่วงภาวะ risk-off ที่หุ้นและพันธบัตรอาจปรับตัวลงพร้อมกัน ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่สามารถให้ผลตอบแทนเชิงบวกได้ จึงควรใช้เป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงในบริบทของเงินเฟ้อสูง ความขัดแย้งทางการค้า และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินต่อไปในครึ่งหลังของปี