Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
SCB CIO ชี้เฟดจ่อหั่นดอกเบี้ยอีก 0.5% ทอง-หุ้น EM Asia โตเด่น ไทยฟื้น
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

SCB CIO ชี้เฟดจ่อหั่นดอกเบี้ยอีก 0.5% ทอง-หุ้น EM Asia โตเด่น ไทยฟื้น

22 ก.ย. 68
12:28 น.
แชร์

SCB CIO ประเมินทิศทางการลงทุนช่วงโค้งสุดท้ายของปี โดยมองว่าการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มกลับมาลดดอกเบี้ยหลังจากคงอัตราในระดับสูงมาเป็นเวลานาน ถือเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อทั้งตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ ข้อมูลในอดีตสะท้อนชัดเจนว่าในช่วงหนึ่งปีถัดจากการที่เฟดเริ่มลดดอกเบี้ย ผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักสูงกว่า 20% อย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการผ่อนคลายทางการเงินของเฟดเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของสินทรัพย์เสี่ยง

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB CIO ได้หารือกับ BlackRock ผู้จัดการกองทุนระดับโลก และมีมุมมองสอดคล้องกันว่าเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยอีก 50 basis points ภายในปีนี้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสิ้นปีอยู่ที่ช่วง 3.50%-3.75% ปัจจัยนี้สะท้อนการตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่กำลังอ่อนแรง โดยเฉพาะในตลาดแรงงานที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และยังเป็นแรงหนุนโดยตรงต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ได้รับอานิสงส์จากธีมเทคโนโลยี AI ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักที่ผลักดันการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียน

ความเสี่ยงเฟดถูกแทรกแซง-หนี้สาธารณะกดดันพันธบัตร

แม้เฟดลดดอกเบี้ยจะเป็นปัจจัยบวกชัดเจน แต่ SCB CIO เตือนว่าความเสี่ยงเชิงโครงสร้างยังคงอยู่ โดยเฉพาะความเป็นอิสระของเฟดที่อาจถูกแทรกแซงทางการเมือง เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ เองก็ต้องการเห็นดอกเบี้ยต่ำและค่าเงินดอลลาร์อ่อนเพื่อพยุงภาระการคลัง ขณะเดียวกัน การขาดดุลการคลังและหนี้สาธารณะในระดับสูงยังคงกดดันความเชื่อมั่นต่อตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนจึงมีแนวโน้มต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นในการถือครองพันธบัตรระยะยาว หรือ term premium อีกทั้งความเสี่ยงเงินเฟ้อฝั่งอุปทานจากต้นทุนแรงงานและกำแพงภาษียังมีอยู่ ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (UST Yield) โดยเฉพาะรุ่นระยะยาว มีทิศทางสูงขึ้น

จากมุมมองนี้ SCB CIO แนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ และหุ้นกู้ Investment Grade ที่มี duration สั้น เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของผลตอบแทน รวมถึงเสริมด้วย Private Asset และสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานซึ่งสามารถสร้างกระแสเงินสดมั่นคงในระยะยาว

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่อง โดยมีแรงกดดันหลักสี่ด้าน ได้แก่ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดและการผ่อนคลายทางการเงินในระยะถัดไป ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับโมเมนตัมการเติบโตที่แข็งแกร่งกว่าของประเทศอื่น ความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังและความเป็นอิสระของเฟด รวมถึงความต้องการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินของนักลงทุนต่างชาติที่ถือสินทรัพย์สหรัฐฯ การอ่อนค่าของดอลลาร์ลักษณะนี้ถือเป็นแรงหนุนสำคัญต่อตลาดเกิดใหม่ เพราะทำให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้า สภาพคล่องเพิ่มขึ้น Valuation ของตลาดดีขึ้น และช่วยลดต้นทุนหนี้ที่เป็นสกุลดอลลาร์ของบริษัทในภูมิภาค

EM Asia เด่น จีน-อินเดียได้แรงหนุน นโยบายภาครัฐยังเอื้อ

SCB CIO ชี้ว่าตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย (EM Asia) จะได้รับอานิสงส์มากที่สุดจากทิศทางดอลลาร์อ่อนค่า เพราะนอกจากเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าแล้ว ยังมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินจากธนาคารกลางในภูมิภาคที่มุ่งกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ ขณะที่เงินเฟ้อยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมาย และรัฐบาลมี room ทางการคลังเพียงพอจากระดับหนี้ต่อ GDP ที่ไม่สูงมาก ทำให้ศักยภาพการเติบโตของ GDP ในภูมิภาคยังโดดเด่น และ EPS ของหุ้นตลาดหลักใน EM Asia มีแนวโน้มเติบโตได้ดีต่อเนื่องในช่วงปี 2568–2569

สำหรับจีน หุ้น All-Share เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลัก เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากนโยบาย anti-involution ที่มีเป้าหมายลดการแข่งขันที่ไม่สร้างมูลค่าและแก้ปัญหากำลังผลิตส่วนเกิน แม้นโยบายนี้จะกดดัน GDP ในระยะสั้น แต่กลับช่วยกระตุ้นเงินเฟ้อและเพิ่มอัตรากำไรในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะบริษัทรายใหญ่ที่มีเทคโนโลยีสูง ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการควบรวมกิจการและการควบคุมการผลิตที่เข้มงวด กลุ่มอุตสาหกรรมอย่างเหล็กและซีเมนต์จึงถูกมองว่าจะได้อานิสงส์โดยตรง รัฐบาลจีนมีแนวโน้มทยอยออกมาตรการแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อลดผลกระทบ และจะเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในการประกาศแผนยุทธศาสตร์ 5 ปีในเดือนตุลาคมนี้

ขณะเดียวกัน จีนยังเดินหน้าโครงการ “AI+” ที่ตั้งเป้าให้อุปกรณ์อัจฉริยะกว่า 70% ใช้งาน AI ภายในปี 2570 และจัดตั้งกองทุน Big Fund III มูลค่า 344,000 ล้านหยวน เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และ AI ทั้งหมดนี้สะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นเทคโนโลยีจีนในระยะกลางถึงยาว SCB CIO จึงแนะนำลงทุนในหุ้นจีน All-Share เป็นหลัก และสำหรับผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงสามารถเสริมด้วยหุ้นจีน A-Shares ในพอร์ตเสริมระยะสั้น

ในอินเดีย แม้ยังเผชิญความผันผวนจากข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐฯ แต่ยังมีแรงหนุนจากความคาดหวังว่ารัฐบาลจะใช้นโยบายการเงินและการคลังเพิ่มเติม โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างภาษี GST ที่จะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ทำให้ตลาดหุ้นอินเดียยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญในพอร์ตหลัก สอดคล้องกับ BlackRock ที่ยังมีมุมมองเชิงบวกในระยะยาว

ตลาดหุ้นไทยก็มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในระยะสั้นจากเสถียรภาพทางการเมืองที่สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน ขณะเดียวกันยังมีโอกาสได้รับแรงหนุนจากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจปรับลดดอกเบี้ยอีก 25 จุดเบสสิสในไตรมาส 4 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น

ทองคำยังคงถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์สำคัญในพอร์ตหลักระยะยาว เพราะนอกจากจะได้รับแรงหนุนจากการลดดอกเบี้ยของเฟดและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์แล้ว ยังมีแรงซื้อจากกองทุน Gold ETF และจากธนาคารกลางทั่วโลกที่เพิ่มการถือครองทองคำมากกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี

กลยุทธ์จัดพอร์ต กระแสเงิน-การเติบโต-ป้องกันความเสี่ยง

SCB CIO สรุปแนวทางการจัดพอร์ตโดยระบุว่าพอร์ตหลักที่มีกรอบเวลาลงทุนมากกว่าหนึ่งปีควรตอบโจทย์สามวัตถุประสงค์ ได้แก่ การสร้างกระแสเงินสด ผ่านการลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ หุ้นกู้ Investment Grade ระยะสั้น และ Private Asset รวมถึงสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยสร้างรายได้ต่อเนื่อง การสร้างการเติบโต ผ่านตลาดหุ้นสหรัฐฯ และญี่ปุ่นที่ยังมี EPS แข็งแกร่ง รวมถึงตลาดเกิดใหม่ในเอเชียอย่างจีน All-Share และอินเดีย และการป้องกันความเสี่ยง ผ่านการถือทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน

ส่วนพอร์ตเสริมที่มีกรอบเวลาสั้นไม่เกินหนึ่งปี SCB CIO แนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นจีน A-Shares ดัชนี Nasdaq 100 และหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับธีม AI ซึ่งยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจโลกในอนาคต


แชร์
SCB CIO ชี้เฟดจ่อหั่นดอกเบี้ยอีก 0.5% ทอง-หุ้น EM Asia โตเด่น ไทยฟื้น