หุ้นบัตรเครดิต สินเชื่อไทย ราคาลงมามากแค่ไหน ?
ก่อนอื่นก็มาดูกันก่อนว่า โมเดลธุรกิจของธนาคารมีหน้าตาเป็นอย่างไร ?
ปกติแล้วธุรกิจธนาคารก็จะมี 2 ขาอย่างที่เรารู้กัน ก็คือ เงินฝาก ที่ได้จากคนที่ไปเปิดบัญชีเพื่อฝากเงิน
จากนั้นธนาคารก็จะนำเงินที่ได้ไปบริหารต่อเพื่อสร้างผลตอบแทนให้เกิดดอกเบี้ยเงินฝาก ตัวอย่างเช่น นำไปปล่อยสินเชื่อต่อ หรือ ลงทุนต่อ
หรือสรุปก็คือธนาคารมีเงินฝากเป็นทุน และ มีดอกเบี้ยเงินฝากเป็นต้นทุนที่ต้องแบกรับ
ซึ่งโจทย์ของธนาคารก็คือจะเอาเงินที่มีอยู่ตรงนี้ไปบริหารจัดการอย่างไร ให้ได้ผลตอบแทนมากกว่าต้นทุน ภายใต้ความเสี่ยงที่เหมาะสม
กลับมาที่โมเดลธุรกิจ Non Bank
สำหรับธุรกิจ Non Bank จะแตกต่างกับธุรกิจธนาคารตรงที่ไม่มีบริการฝากเงิน
ทำให้เงินทุนที่ Non Bank ใช้มาปล่อยกู้จะมาจากการกู้ยืม หรือ การออกหุ้นกู้
เห็นแบบนี้แล้ว หลายคนคงสงสัยว่า Non Bank จะทำกำไรจากการกู้เงินมาปล่อยกู้ต่ออีกทีได้อย่างไร ?
ก็ต้องบอกว่าปกติแล้ว Non Bank จะปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มลูกค้าที่ธนาคารเข้าถึงไม่ได้ ตัวอย่างเช่น คนที่มีรายได้น้อย ไม่แน่นอน ไปจนถึง เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กต่าง ๆ
ซึ่งก็ต้องบอกว่ากลุ่มลูกค้าตรงนี้มีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มลูกค้าของธนาคาร แต่จุดนี้เองก็ทำให้ธุรกิจ Non Bank เก็บดอกเบี้ยได้ในอัตราที่สูงกว่าปกติเพื่อชดเชยความเสี่ยงตรงนี้
อัตราดอกเบี้ยสูงสุดของสินเชื่อส่วนบุคคล และ สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ ตอนนี้
- สินเชื่อส่วนบุคคลอัตรา 25% ต่อปี
- สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ 33% ต่อปี
เกิดเป็นส่วนต่างดอกเบี้ยที่ทำให้ธุรกิจ Non Bank ทำกำไรได้นั่นเอง
ต่อไปมาดูกันว่า อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้หุ้นกลุ่ม Non Bank ราคาร่วงลงตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
อย่างแรก เลยก็คือ เรื่องของความคาดหวัง
ก่อนหน้านี้หุ้นกลุ่ม Non Bank เคยถูกซื้อขายด้วยค่า PE ที่สูง เทียบกับการเติบโตที่ทำได้ ตัวอย่างเช่น
KTC
- มีรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 8% ในช่วง 3 ปีล่าสุด
- เคยมีค่า PE ขึ้นไปสูงถึง 192 เท่า มาวันนี้เหลือ 8 เท่า
นั่นเลยทำให้นักลงทุนลดความคาดหวังลงตามไปด้วย ส่วนสาเหตุที่ทำให้กลุ่ม Non Bank เติบโตได้ไม่ดี ก็เป็นเรื่องของภาพใหญ่ในอุตสาหกรรม
โดยตอนนี้ คนไทยมีหนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ระดับ 88% ต่อ GDP สะท้อนให้เห็นว่าการกู้ยืมเพิ่มขึ้นได้อีกไม่มาก
การเติบโตของอุตสาหกรรมบัตรเครดิต และ สินเชื่อ เลยมีพื้นที่ให้เติบโตลดลงตามไปด้วยนั่นเอง
ปีก่อตั้ง
พ.ศ. 2535 (33 ปีแล้ว)
ธุรกิจหลัก
ให้สินเชื่อแบบจำนำทะเบียนรถ และ ที่ดิน
ผลประกอบการล่าสุด (ไตรมาส 1 ปี 2568)
รายได้
7,240 ล้านบาท
กำไร
1,570 ล้านบาท
มูลค่าบริษัท
74,700 ล้านบาท
ราคาหุ้นจากต้นปีจนถึงตอนนี้ (YTD)
-24%
ค่า PE (มูลค่าบริษัทต่อกำไร)
12 เท่า
ปีก่อตั้ง
พ.ศ. 2539 (29 ปีแล้ว)
ธุรกิจหลัก
บัตรเครดิต และ สินเชื่อส่วนบุคคล
ผลประกอบการล่าสุด (ไตรมาส 1 ปี 2568)
รายได้
6,770 ล้านบาท
กำไร
1,860 ล้านบาท
มูลค่าบริษัท
62,900 ล้านบาท
ราคาหุ้นจากต้นปีจนถึงตอนนี้ (YTD)
-50%
ค่า PE (มูลค่าบริษัทต่อกำไร)
8 เท่า
ปีก่อตั้ง
พ.ศ. 2567 (1 ปีที่แล้ว จากการปรับโครงสร้างบริษัท)
ธุรกิจหลัก
ให้สินเชื่อแบบจำนำทะเบียนรถ, สินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสอง
ผลประกอบการล่าสุด (ไตรมาส 1 ปี 2568)
รายได้
5,640 ล้านบาท
กำไร
1,220 ล้านบาท
มูลค่าบริษัท
42,600 ล้านบาท
ราคาหุ้นจากต้นปีจนถึงตอนนี้ (YTD)
-12%
ค่า PE (มูลค่าบริษัทต่อกำไร)
–
ปีก่อตั้ง
พ.ศ. 2551 (17 ปีแล้ว)
ธุรกิจหลัก
ให้สินเชื่อแบบจำนำทะเบียนรถ บ้าน ที่ดิน
ผลประกอบการล่าสุด (ไตรมาส 1 ปี 2568)
รายได้
4,770 ล้านบาท
กำไร
1,100 ล้านบาท
มูลค่าบริษัท
26,800 ล้านบาท
ราคาหุ้นจากต้นปีจนถึงตอนนี้ (YTD)
-57%
ค่า PE (มูลค่าบริษัทต่อกำไร)
6 เท่า
ปีก่อตั้ง
พ.ศ. 2535 (33 ปีแล้ว)
ธุรกิจหลัก
บัตรเครดิต และ สินเชื่อส่วนบุคคล
ผลประกอบการล่าสุด ไตรมาส 4 ปี 2568 (เดือน ธันวาคม – กุมภาพันธ์ 2568)
รายได้
4,840 ล้านบาท
กำไร
725 ล้านบาท
มูลค่าบริษัท
23,600 ล้านบาท
ราคาหุ้นจากต้นปีจนถึงตอนนี้ (YTD)
-24%
ค่า PE (มูลค่าบริษัทต่อกำไร)
8 เท่า
ที่มา: set.or.th, settrade.com, รายงานประจำปีของแต่ละบริษัท