ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยในการแถลงข่าว Meet the Press : Policy Normalization ที่จัดขึ้นวันนี้ (22 ก.ค. 65) ระบุว่า บริบทของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันเปลี่ยนไปมากเมื่อเทียบกับช่วงโควิด-19 ต้องปรับการดำเนินนโยบายการเงินและมาตรการทางการเงินให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจการเงิน โดยให้น้ำหนักกับเงินเฟ้อมากขึ้น
ปัจจุบันสัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัวชัดขึ้น แต่สิ่งที่ตามมาคือเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาเท่ากับช่วงก่อนโควิดในต้นปีหน้า และเงินเฟ้อปีนี้จะสูงสุดในช่วงไตรมาส 3 ที่ 7.5% มองภาพรวมปี 65 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 6.2% และจะลดลงในปี 66 อยู่ที่ 2.5%
ในภาวะที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวชัดเจนและท่ามกลางเงินเฟ้อที่สูงเช่นนี้ แม้ว่านโยบายดอกเบี้ยไม่สามารถจัดการได้เงินเฟ้อที่สูงได้โดยตรง แต่จะช่วยสร้างความมั่นใจกับประชาชนว่านโยบายการเงินจะดูแลเงินเฟ้อไม่ให้สูงขึ้นต่อในระยะข้างหน้า ในทางกลับกันหากยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมที่แท้จริงลดลงไปอีก ซึ่งปัจจุบันดอกเบี้ยที่แท้จริงยังติดลบที่ 5.70% และ ธุรกิจมีต้นทุนการกู้ยืมที่แท้จริงผ่านการออกตราสารหนี้ติดลบที่ 4.3% ต่ำกว่าสิ้นปีก่อนมากที่ 0.2%
ดร. เศรษฐพุฒิ มองว่า การขึ้นดอกเบี้ยที่จะไม่ทำให้เศรษฐกิจสะดุดควรทำแต่เนิ่น ๆ เมื่อเห็นสัญญาณ หากช้าเกินไป อาจทำให้เครื่องยนต์เงินเฟ้อติด และ ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยแรงขึ้นอีก เพื่อดูแลภายหลัง ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ และ ประชาชนมากขึ้น แต่การขึ้นดอกเบี้ยนั้น ควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้ต้นทุนทางการเงินสูงเร็วไป จนประชาชนและภาคธุรกิจปรับตัวไม่ทัน และ ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสะดุด
ทั้งนี้ การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของไทยไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับต่างประเทศ เพราะบริบทเศรษฐกิจการเงินช่วงนี้ต่างกัน เช่น เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวกลับมาดีกว่าช่วงก่อนโควิดแล้วตั้งแต่ครึ่งแรกของปี 64 และเงินเฟ้อสูงขึ้นมากจากอุปสงค์ในประเทศที่ขยายตัวดี จึงต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดูแลให้เศรษฐกิจไม่ร้อนแรงและเกิด soft landing ขณะที่ไทยเพิ่งเริ่มฟื้นตัว การขึ้นดอกเบี้ยจึงต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เป็น smooth take-off