กนง. มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.75% โดยมี 6 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม และ อีก 1 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยลงจาก 1.75% เป็น 1.50%
ด้านภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ยังเติบโตดีกว่าที่ประเมินไว้ จากภาคการผลิตและการส่งออก
โดยในอนาคตเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงจากนโยบายภาษีนำเข้าของคุณ โดนัลด์ ทรัมป์ ความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศ
ไปจนถึงปัจจัยในประเทศ อย่างเช่น เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ ความต้องการสินเชื่อที่ลดลงในบางกลุ่ม และ ความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้
ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 2568 นี้ มีแนวโน้มเติบโตในระดับ 2.3% จากการส่งออกที่เติบโตดี โดยเฉพาะจากสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และ สินค้าที่เร่งส่งออกไปสหรัฐฯ
ทำให้ภาคการผลิต และ บริการ เติบโตตามไปด้วย ส่วนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 การส่งออกไทยมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การบริโภคในประเทศที่ชะลอตัวลง
ด้านการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้จากค่าใช้จ่ายต่อหัว ถึงแม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะลดลง ส่วนบางธุรกิจได้รับผลกระทบจากสินค้านำเข้าที่มาแทนที่ และ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
ส่วนในปี 2569 หรือ ปีหน้า เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตที่ระดับ 1.7%
ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2568 ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 0.5% จากราคาพลังงาน และ อาหารสด โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะทรงตัวในระดับต่ำจากปัจจัยด้านอุปทาน โดยที่ราคาสินค้าจะยังไม่ลดลงเป็นวงกว้าง
ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2568 นี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 1.0%
ส่วนคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะกลางคาดว่าจะยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย แต่ต้องจับตาความเสี่ยงในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศที่อาจส่งผลให้ราคาพลังงานผันผวน
ส่วนในปี 2569 หรือ ปีหน้านี้ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 0.8% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ 0.9%
ด้านสินเชื่อคาดว่าโดยรวมแล้วจะหดตัว โดยสภาบันการเงินยังระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก หรือ SMEs และกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ
ส่วนอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงิน และ สถาบันการเงิน ปรับลดลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา
ส่วนค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นไปในทิศทางเดียวกันกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาคเดียวกัน
โดยรวมแล้วทางคณะกรรมการฯ ประเมินว่าแนวโน้มเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยจะปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ และ เงินเฟ้อ ต่อไปในอนาคต
ที่มา: bot.or.th