รายงานล่าสุดจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยว่า ทองคำได้ก้าวขึ้นมาเป็นสินทรัพย์สำรองที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับสองของโลกในปี 2024 เป็นรองเพียงดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยหลักมาจากการเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลกควบคู่กับราคาทองคำที่พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
รายงานระบุว่า สัดส่วนการถือครองทองคำของธนาคารกลาง โดยเฉพาะในแง่มูลค่า กำลังเข้าใกล้ระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษนับตั้งแต่ปี 1960 ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของทองคำในฐานะเครื่องมือกระจายความเสี่ยงของทุนสำรองระหว่างประเทศ
ฮามัด ฮุสเซน นักเศรษฐศาสตร์จาก Capital Economics ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า “ธนาคารกลางมีบทบาทอย่างมากในการขับเคลื่อนราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้น และแม้แรงซื้ออาจชะลอลงจากช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่แนวโน้มการสะสมทองคำก็ยังคงมีอยู่ต่อไป”
ข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างปี 2023 และ 2024 ยิ่งตอกย้ำความเปลี่ยนแปลงนี้ โดยในปี 2023 ทองคำและยูโรต่างมีสัดส่วนเฉลี่ยในทุนสำรองที่ระดับ 16.5% เท่ากัน แต่ในปี 2024 ทองคำเพิ่มขึ้นเป็น 19% ขณะที่ยูโรลดลงมาอยู่ที่ 16% ส่วนดอลลาร์สหรัฐยังครองความเป็นสกุลเงินสำรองหลัก ด้วยสัดส่วน 47%
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ธนาคารกลางทั่วโลกเพิ่มการถือครองทองคำและเงินตราต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อวัตถุประสงค์สำคัญหลายประการ ทั้งการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ การสนับสนุนเสถียรภาพของค่าเงินในช่วงวิกฤต และการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์สำรอง
รายงานจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ระบุว่า ธนาคารกลางทั่วโลกมีสัดส่วนการถือครองทองคำมากกว่า 20% ของอุปสงค์ทองคำทั้งหมด เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับประมาณ 10% ในช่วงทศวรรษ 2010
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทองคำได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และกำลังพัฒนา ซึ่งต้องการลดความเสี่ยงจากการถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และมีแนวโน้มลดการพึ่งพาสกุลเงินหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ในระบบการเงินระหว่างประเทศ
หลังเหตุการณ์รัสเซียรุกรานยูเครนในปี 2022 ทองคำยิ่งกลายเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจ
ประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการซื้อทองคำในรอบนี้ ได้แก่ จีน อินเดีย และตุรกี ซึ่งมีการสะสมทองคำต่อเนื่องในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2025 ก่อนจะเริ่มมีความผันผวนมากขึ้นจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่ปรับเปลี่ยนบ่อยครั้ง
ในช่วงที่ผ่านมา การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มมีสัญญาณชะลอตัว โดยข้อมูลจาก World Gold Council ซึ่ง ING นำมาวิเคราะห์ชี้ว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ ปริมาณการซื้อทองคำโดยธนาคารกลางลดลงถึง 33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะธนาคารกลางจีนที่เริ่มลดจังหวะการซื้ออย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงประเมินว่า ทองคำจะยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ธนาคารกลางทั่วโลกเลือกถือครองในระยะยาว เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานด้านภูมิรัฐศาสตร์และความจำเป็นในการกระจายความเสี่ยงยังคงอยู่
เจเน็ต มุย จาก RBC Brewin Dolphin ให้ความเห็นว่า “ในสภาพแวดล้อมที่สหรัฐฯ เริ่มดำเนินนโยบายการค้าที่มีแนวโน้มปิดกั้นมากขึ้น การลดการพึ่งพาดอลลาร์และกระจายการถือครองทุนสำรองจึงเป็นแนวทางที่สมเหตุสมผลสำหรับหลายประเทศ”
ขณะเดียวกัน มาร์ก เฮเฟเล หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนจาก UBS Global Wealth Management แนะนำให้นักลงทุนเพิ่มการถือครองทองคำควบคู่กับกองทุนเฮดจ์ฟันด์ เพื่อรองรับความผันผวนของตลาดการเงินที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
ECB ยังชี้ว่า แนวโน้มราคาทองคำในระยะต่อไปจะขึ้นอยู่กับ “ความยืดหยุ่นของอุปทาน” โดยที่ผ่านมา ตลาดสามารถตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้ผ่านการนำทองคำที่อยู่เหนือพื้นดินเข้าสู่ระบบมากขึ้น ซึ่งหากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป การสะสมทองคำของธนาคารกลางก็อาจเป็นแรงผลักดันที่สนับสนุนการขยายตัวของอุปทานทองคำในระยะยาวเช่นกัน
สำหรับความเคลื่อนไหวราคาทองวันนี้ (12 มิ.ย.) พบราคาทองคำขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเช้าวันพฤหัสบดี โดยแตะระดับสูงสุดรายสัปดาห์บริเวณ $3,380 ขานรับแรงหนุนจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางและข้อมูลเงินเฟ้อจากสหรัฐที่ต่ำกว่าคาดการณ์
CBS News รายงานว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐได้รับแจ้งว่าอิสราเอลพร้อมเต็มที่สำหรับปฏิบัติการทางทหารต่ออิหร่าน และสหรัฐคาดว่าอิหร่านอาจตอบโต้เป้าหมายของตนในอิรัก ในขณะเดียวกัน สตีฟ วิตคอฟฟ์ ทูตพิเศษด้านตะวันออกกลางของประธานาธิบดีทรัมป์ ยังคงมีกำหนดหารือกับอิหร่านรอบที่หกในวันอาทิตย์นี้เกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์
ด้านสหรัฐ ข้อมูลเงินเฟ้อเดือนล่าสุดยืนยันภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยดัชนี CPI เดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ 0.2% ขณะที่เงินเฟ้อรายปีอยู่ที่ 2.4% ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 2.5% ตัวเลขเหล่านี้ช่วยหนุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจปรับลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายน โดยเครื่องมือ FedWatch ของ CME Group แสดงความเป็นไปได้ที่ 62% สำหรับการลดดอกเบี้ย 25 จุดพื้นฐาน เพิ่มขึ้นจาก 52% ก่อนการเผยแพร่ข้อมูล
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนจากแนวโน้มการขึ้นภาษีของสหรัฐยังเป็นอีกปัจจัยที่กดดันค่าเงินดอลลาร์ แม้ความตึงเครียดทางการค้ากับจีนจะเริ่มคลี่คลายก็ตาม โดยประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่าอาจขยายเส้นตายสำหรับการเจรจาการค้ากับประเทศคู่ค้า ก่อนที่สหรัฐจะดำเนินมาตรการภาษีเพิ่มเติม
ขณะที่ WSJ รายงานว่า จีนกำหนดระยะเวลา 6 เดือนสำหรับการออกใบอนุญาตส่งออกแร่หายากไปยังผู้ผลิตในสหรัฐ ซึ่งอาจสร้างความกังวลเพิ่มเติมในตลาด
ถึงแม้ข้อมูล CPI จะช่วยหนุนทองคำ แต่ข้อมูล PPI ที่จะประกาศในเร็ววันนี้อาจเป็นตัวแปรสำคัญ หากตัวเลขเงินเฟ้อผู้ผลิตออกมาสูงกว่าคาด ก็อาจช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์และจำกัดการปรับขึ้นของราคาทอง
นักวิเคราะห์คาดว่า PPI เดือนพฤษภาคมจะเพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบรายปี และ 0.2% ในเชิงรายเดือน ขณะที่ Core PPI คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.1% รายปี และ 0.3% เมื่อเทียบเดือนต่อเดือน
นอกจากข้อมูลเศรษฐกิจแล้ว ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน และความคืบหน้าในการเจรจาการค้าก็ยังเป็นปัจจัยที่มีผลต่อทั้งราคาทองและทิศทางของดอลลาร์สหรัฐ
รายงานล่าสุดจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังเผยด้วยว่า การเข้าซื้อทองคำในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยธนาคารกลางทั่วโลก ทำให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์สำรองอันดับ 2 ของโลกในเชิงมูลค่า เป็นรองเพียงเงินดอลลาร์
ปัจจุบัน ราคาทองคำแสดงสัญญาณกลับตัวจากแนวรับสำคัญที่ $3,297 ซึ่งเป็นระดับ Fibonacci Retracement 38.2% ของการปรับขึ้นในเดือนเมษายน
ดัชนี RSI ระยะ 14 วัน ปรับขึ้นเหนือระดับ 50 ล่าสุดอยู่ที่ 57.50 สะท้อนแรงซื้อที่ยังแข็งแกร่ง
แนวต้านสำคัญต่อไปอยู่ที่ระดับ $3,377 ซึ่งเป็นแนว Fibonacci 23.6% โดยหากสามารถยืนเหนือได้ในการปิดตลาดรายวัน จะเปิดทางสู่แนวต้านถัดไปที่ $3,400 และเป้าหมายถัดไปคือจุดสูงสุดในเดือนพฤษภาคมที่ $3,439
ในทางกลับกัน แนวรับใกล้ที่สุดอยู่ที่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 21 วัน บริเวณ $3,315 หากราคาหลุดแนวรับที่ $3,297 อย่างชัดเจน จะมีแนวรับถัดไปที่ค่าเฉลี่ย 50 วัน ($3,279) และแนวรับสำคัญสุดท้ายที่ $3,232 ซึ่งเป็นระดับ Fibonacci 50% ของรอบขาขึ้นเดียวกันนี้
ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มเชิงบวกต่อเนื่อง ตราบใดที่ยังไม่หลุดระดับแนวรับสำคัญดังกล่าว
ที่มา: CNBC