
ตลาดน้ำมันโลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ จากเดิมที่ฝั่งผู้ผลิต โดยเฉพาะกลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) ถูกมองว่าเป็นผู้กำหนดทิศทางราคา ผ่านการปรับเพิ่มหรือลดกำลังการผลิตเพื่อชี้นำตลาด แต่พัฒนาการตลอดปีที่ผ่านมาเริ่มสั่นคลอนความเชื่อดังกล่าว ท่ามกลางภาวะอุปทานส่วนเกินที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และบทบาทของฝั่งอุปสงค์ที่เด่นชัดขึ้น
ผู้เล่นที่มีบทบาทโดดเด่นขึ้นอย่างมีนัยสำคัญคือจีน ในฐานะผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของโลก จีนอาศัยสถานะดังกล่าวควบคู่กับการบริหารคลังสำรองน้ำมัน ทั้งเชิงยุทธศาสตร์และเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างกรอบราคาโดยปริยายให้กับตลาดโลก
ในทางปฏิบัติ จีนทำหน้าที่ทั้งเป็นแรงพยุงราคาในช่วงที่ราคาน้ำมันอ่อนตัว และเป็นตัวถ่วงไม่ให้ราคาปรับขึ้นแรงเกินไป ส่งผลให้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบค่อนข้างแคบ โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ถูกตรึงอยู่แถวระดับประมาณ 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ในอดีต คนทั่วไปมักเชื่อว่าโอเปกพลัสเป็นองค์กรที่สามารถกำหนดทิศทางราคาได้ผ่านการบริหารอุปทาน และเหตุการณ์ในปี 2565 ก็ช่วยยืนยันมุมมองดังกล่าว เมื่อกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตรที่นำโดยรัสเซียตัดสินใจลดกำลังการผลิต จนหนุนให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นได้จริง อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของกลไกนี้เริ่มลดลง หลังแม้โอเปกพลัสทยอยยกเลิกการลดกำลังการผลิตตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 ราคาน้ำมันก็ไม่สามารถรักษาแรงส่งเดิมไว้ได้
เมื่ออุปทานน้ำมันมีแนวโน้มล้นตลาดมากขึ้นในปี 2569 โอเปกพลัสเลือกใช้ท่าทีระมัดระวัง ด้วยการคงระดับการผลิตไว้ในไตรมาสแรกของปีหน้า การตัดสินใจดังกล่าวทำให้ตลาดขาดแรงดูดซับจากฝั่งผู้ผลิต และเปิดทางให้จีนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในฐานะผู้รับซื้อน้ำมันส่วนเกินรายสำคัญของโลก
ข้อมูลในปี 2568 สะท้อนว่า จีนซื้อน้ำมันดิบมากกว่าความต้องการใช้จริง ทั้งเพื่อการบริโภคภายในประเทศและการส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป แม้จีนจะไม่เปิดเผยข้อมูลคลังสำรองน้ำมันอย่างเป็นทางการ แต่นักวิเคราะห์สามารถประเมินแนวโน้มดังกล่าวได้จากการเปรียบเทียบปริมาณการกลั่นกับปริมาณน้ำมันดิบทั้งหมดที่มาจากการนำเข้าและการผลิตในประเทศ
จากการประเมินนี้ พบว่าในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 จีนมีน้ำมันดิบส่วนเกินเฉลี่ยราว 980,000 บาร์เรลต่อวัน โดยปริมาณน้ำมันจากการนำเข้าและการผลิตในประเทศรวมกันอยู่ที่ประมาณ 15.80 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่การกลั่นอยู่ที่ 14.82 ล้านบาร์เรลต่อวัน
จีนเริ่มสะสมน้ำมันส่วนเกินอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมีนาคม หลังจากช่วงต้นปีที่โรงกลั่นดึงน้ำมันออกจากคลังในระดับที่พบได้ไม่บ่อย โดยในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ อัตราการกลั่นสูงกว่าปริมาณน้ำมันที่มีอยู่ราว 30,000 บาร์เรลต่อวัน พฤติกรรมดังกล่าวสะท้อนการบริหารคลังสำรองที่ยืดหยุ่น และมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับระดับราคาน้ำมันในตลาดโลก
ความเชื่อมโยงนี้เห็นได้ชัดในช่วงกลางปี 2568 เมื่อความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่านในเดือนมิถุนายนผลักดันให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ราคาน้ำมันดิบเบรนท์แตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนที่ 81.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ส่งผลให้จีนชะลอการสะสมน้ำมันลงอย่างเห็นได้ชัด โดยปริมาณน้ำมันส่วนเกินลดลงเหลือราว 570,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนกันยายน จากระดับสูงถึง 1.10 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนสิงหาคม ทั้งนี้ น้ำมันที่เข้าสู่จีนในเดือนกันยายนส่วนใหญ่เป็นผลจากสัญญาซื้อขายที่ทำไว้ล่วงหน้า ในช่วงที่ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูง
เมื่อราคาน้ำมันเริ่มอ่อนตัวลงตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาสสอง โรงกลั่นของจีนก็กลับมาเร่งซื้อน้ำมันส่วนเกินอีกครั้งอย่างชัดเจน ปริมาณน้ำมันดิบส่วนเกินพุ่งขึ้นเป็น 1.88 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน และเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 690,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนตุลาคม ภาพนี้สะท้อนบทบาทของจีนในฐานะผู้ดูดซับอุปทานเมื่อราคาน้ำมันปรับลดลงได้อย่างชัดเจน
คำถามสำคัญสำหรับปี 2569 คือ จีนจะยังสามารถและยังเต็มใจทำหน้าที่นี้ต่อไปหรือไม่ ปัจจุบัน ประมาณการปริมาณน้ำมันที่จีนเก็บสำรองอยู่มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก ตั้งแต่ราว 1,000 ล้านบาร์เรล ไปจนถึงสูงถึง 1,400 ล้านบาร์เรล หากยึดเกณฑ์ความมั่นคงด้านพลังงานที่กำหนดให้มีน้ำมันสำรองเทียบเท่าการนำเข้า 90 วัน และพิจารณาว่าจีนมีการนำเข้าน้ำมันพื้นฐานราว 11 ล้านบาร์เรลต่อวัน ปริมาณ 1,000 ล้านบาร์เรลถือว่าเพียงพอตามมาตรฐานดังกล่าวแล้ว
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ประเมินว่าอย่างน้อยประมาณ 700 ล้านบาร์เรลเป็นคลังสำรองเชิงพาณิชย์ ซึ่งหมายความว่าคลังสำรองเชิงยุทธศาสตร์อาจอยู่ใกล้ระดับเพียง 500 ล้านบาร์เรล และยังมีพื้นที่ให้เพิ่มได้อีกมาก จากมุมมองนี้ จีนอาจมีเป้าหมายเพิ่มน้ำมันในคลังยุทธศาสตร์อีกราว 500 ล้านบาร์เรล แม้กรอบเวลาจะยังไม่ชัดเจนก็ตาม
สัญญาณที่สนับสนุนมุมมองดังกล่าวคือ การที่จีนเร่งลงทุนสร้างคลังเก็บน้ำมันเพิ่มเติม โดยบริษัทน้ำมันของรัฐอย่าง Sinopec และ CNOOC เพิ่มความจุรวมอย่างน้อย 169 ล้านบาร์เรล ในคลัง 11 แห่ง ช่วงปี 2568-2569 หากอัตราการไหลของน้ำมันเข้าสู่คลังอยู่ที่ราว 500,000-600,000 บาร์เรลต่อวัน จะเท่ากับการสะสมเพิ่มประมาณ 200 ล้านบาร์เรลภายในหนึ่งปี ซึ่งเพียงพอที่จะดูดซับอุปทานส่วนเกินส่วนใหญ่ที่ตลาดคาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2569
หากสถานการณ์ดำเนินไปในทิศทางนี้ ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มจะยังได้รับแรงพยุงจากจีนในช่วงที่ราคาอ่อนตัว ขณะเดียวกันก็เผชิญเพดานราคา เพราะจีนพร้อมลดการนำเข้าทันทีเมื่อราคาปรับสูงเกินไป เมื่อพิจารณาว่าการนำเข้าน้ำมันดิบทางเรือของจีนราว 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน คิดเป็นประมาณหนึ่งในสี่ของปริมาณการค้าทางทะเลทั่วโลก นโยบายด้านคลังสำรองของปักกิ่งจึงอาจกลายเป็นปัจจัยชี้ขาดทิศทางตลาดน้ำมันโลกในระยะต่อไป มากกว่าการตัดสินใจของฝั่งผู้ผลิตเพียงฝ่ายเดียว
การเปลี่ยนดุลอำนาจในตลาดน้ำมันจากฝั่งผู้ผลิตไปสู่ฝั่งผู้บริโภครายใหญ่อย่างจีน มีนัยสำคัญต่อประเทศต่าง ๆ และต่อเศรษฐกิจโลกในระดับโครงสร้าง ไม่ใช่เพียงประเด็นราคาพลังงานในระยะสั้น แต่กระทบต่อกลไกนโยบาย เศรษฐกิจมหภาค และเสถียรภาพการเงินระหว่างประเทศในวงกว้าง
ประการแรก สำหรับประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน การที่จีนกลายเป็น “ผู้กำหนดกรอบราคาโดยพฤตินัย” ทำให้ความสามารถในการบริหารรายได้จากน้ำมันลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เดิมทีประเทศเหล่านี้พึ่งพาการประสานกำลังการผลิตผ่านโอเปกพลัสเพื่อรักษาระดับราคา แต่เมื่อจีนสามารถดูดซับอุปทานส่วนเกินในช่วงราคาตก และลดการนำเข้าเมื่อราคาสูงขึ้น ความพยายามดันราคาขึ้นของผู้ผลิตจะถูกจำกัดมากขึ้น รายได้จากน้ำมันจึงมีความผันผวนเชิงโครงสร้างสูงขึ้น ส่งผลต่อเสถียรภาพงบประมาณของประเทศผู้ส่งออก โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพารายได้จากพลังงานเป็นหลัก
ประการที่สอง สำหรับประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายอื่น การที่จีนใช้คลังสำรองเป็นเครื่องมือปรับสมดุลตลาด ทำให้ราคาน้ำมันโลกมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบแคบและคาดการณ์ได้มากขึ้นในบางช่วง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงเงินเฟ้อด้านพลังงานในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงใหม่คือประเทศเหล่านี้ต้องเผชิญกับ “นโยบายที่คาดเดาได้ยากของจีน” แทน กล่าวคือ หากปักกิ่งเปลี่ยนท่าทีอย่างฉับพลัน ไม่ว่าจะจากเหตุผลด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง หรือการเมือง ราคาน้ำมันอาจผันผวนรุนแรงโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
ประการที่สาม ในระดับเศรษฐกิจโลก การที่ราคาน้ำมันถูกกำหนดมากขึ้นโดยการตัดสินใจด้านคลังสำรองของประเทศเดียว สะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยอุปทาน ไปสู่ตลาดที่ขับเคลื่อนด้วย “การบริหารอุปสงค์เชิงยุทธศาสตร์” ผลที่ตามมาคือ วัฏจักรราคาพลังงานอาจไม่สอดคล้องกับวัฏจักรเศรษฐกิจโลกแบบเดิม ทำให้การคาดการณ์เงินเฟ้อ การเติบโต และดุลบัญชีเดินสะพัดของหลายประเทศมีความซับซ้อนมากขึ้น
ประการที่สี่ สำหรับนโยบายการเงินและการคลังทั่วโลก ความผันผวนของราคาน้ำมันที่ถูกจำกัดกรอบโดยจีน อาจช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในบางช่วง ส่งผลให้ธนาคารกลางมีพื้นที่ในการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยมากขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง หากจีนชะลอการดูดซับอุปทานอย่างพร้อมเพรียง ราคาน้ำมันอาจร่วงลงอย่างรวดเร็ว สร้างแรงกดดันเชิงลบต่อประเทศผู้ส่งออก และกระทบเสถียรภาพของตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ของประเทศพลังงาน
สุดท้าย การเปลี่ยนแปลงนี้ยังมีนัยทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างลึกซึ้ง ประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะในเอเชีย ยุโรป และตลาดเกิดใหม่ ต้องให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ด้านพลังงานกับจีนมากขึ้น เพราะการเข้าถึงน้ำมันในราคาที่เหมาะสม อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับกลไกตลาดเสรีเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับจังหวะการบริหารคลังสำรองและยุทธศาสตร์พลังงานของปักกิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะยาว ตลาดน้ำมันโลกจึงอาจไม่ใช่สนามที่ผู้ผลิตเป็นผู้กำหนดเกมอีกต่อไป หากแต่เป็นตลาดที่ประเทศผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดมีบทบาทชี้ขาดต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกโดยรวม
ที่มา: Reuters