
รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังขยับหมากเชิงยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญ โดยยกระดับ “แร่ธาตุสำคัญ” จากประเด็นเศรษฐกิจขึ้นมาเป็นหัวใจของนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ ท่ามกลางการแข่งขันด้านเทคโนโลยีที่รุนแรงขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในยุคปัญญาประดิษฐ์ เซมิคอนดักเตอร์ และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลกำลังกลายเป็นฐานอำนาจใหม่ของโลก ความเสี่ยงจากห่วงโซ่อุปทานที่กระจุกตัว โดยเฉพาะการพึ่งพาจีน จึงถูกมองว่าเป็นจุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่สหรัฐฯ ต้องเร่งแก้ไข
จากจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ไปจนถึงยูเครน แนวนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ล้วนหมุนรอบคำถามเดียวกันคือ “จะเข้าถึงแร่ธาตุสำคัญได้อย่างมั่นคงอย่างไร” แร่ราว 60 ชนิดที่สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ (USGS) จัดว่ามีความสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติ โดยเฉพาะแร่หายาก ได้กลายเป็นจุดปะทะสำคัญในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้รัฐบาลทรัมป์สมัยที่สองผลักดันโครงการใหม่ในชื่อ “Pax Silica” เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทานระดับโลกที่สหรัฐฯ พึ่งพา
Pax Silica เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม ในฐานะความริเริ่มระหว่าง 9 ประเทศ โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการเสริมความมั่นคงให้กับห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับ AI และเทคโนโลยีขั้นสูง ครอบคลุมตั้งแต่แร่ธาตุสำคัญ ซิลิคอน การออกแบบและการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ไปจนถึงพลังงานที่จำเป็นต่อการขยายศูนย์ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ ซึ่งรัฐบาลทรัมป์เร่งผลักดันในประเทศ
หัวใจของโครงการไม่ใช่เพียงการประสานเชิงนโยบาย แต่คือการผลักดันให้ประเทศสมาชิก “ลงมือทำร่วมกัน” ผ่านโครงการรูปธรรม เช่น การจัดตั้งบริษัทร่วมทุน การลงทุนร่วม และการพัฒนาโครงการข้ามพรมแดน เพื่อสร้างสายสัมพันธ์โดยตรงระหว่างผู้ผลิตวัตถุดิบ ผู้พัฒนาเทคโนโลยี และผู้ดำเนินการในห่วงโซ่อุปทานโลก
เจค็อบ เฮลเบิร์ก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐด้านเศรษฐกิจ ระบุว่า Pax Silica มีเป้าหมายในการสร้าง “ระบบนิเวศของผู้ขายและซัพพลายเออร์” ภายในกลุ่มประเทศสมาชิก เพื่อสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานที่มีความยืดหยุ่น ทนทานต่อแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ และลดความเสี่ยงจากการถูกใช้ทรัพยากรเป็นเครื่องมือทางการเมือง
โครงการนี้มุ่งเน้นพันธมิตรและประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ เป็นหลัก พร้อมกับความพยายามในการสร้าง “ฉันทามติใหม่ด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ” ที่ผสานประเด็นการค้า อุตสาหกรรม เทคโนโลยี และความมั่นคงเข้าด้วยกันในกรอบเดียว
เมื่อเทียบกับโครงการ Mineral Security Partnership (MSP) ในยุครัฐบาลโจ ไบเดน Pax Silica ถูกมองว่าเป็นการเปลี่ยนเกมเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน เฮลเบิร์กอธิบายว่า MSP มีลักษณะเป็น “buyers’ club” ของประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น และแคนาดา ที่เน้นการรวมตัวของฝั่งอุปสงค์เพื่อประกันการเข้าถึงแร่ธาตุสำคัญ
ในทางตรงกันข้าม Pax Silica ถูกออกแบบให้เป็นกลยุทธ์ฝั่งอุปทานตั้งแต่ต้น โดยให้ความสำคัญกับประเทศที่เป็นฐานการผลิตซิลิคอนรายใหญ่ และประเทศที่มีบริษัทซึ่งผลิตหรือดำเนินการในส่วนสำคัญของห่วงโซ่อุปทานโลก เป้าหมายคือการสร้างช่องทางสื่อสารโดยตรงระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับภาคเอกชนในประเทศเหล่านี้ เพื่อให้การประสานงานเชิงนโยบายแปลเป็นการลงทุนและการผลิตจริง
คริส เบอร์รี ประธาน House Mountain Partners บริษัทที่ปรึกษาโลหะอิสระในกรุงวอชิงตัน มองว่า Pax Silica มี “เขี้ยวเล็บ” มากกว่าโครงการก่อนหน้า แม้จะมีองค์ประกอบคล้าย MSP ในแง่การรวมกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดสอดคล้องกันและมีจุดแข็งเสริมกัน แต่บริบททางการเมืองภายใต้รัฐบาลทรัมป์แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ เขาชี้ว่า แนวทางของรัฐบาลทรัมป์ในการเจรจาข้อตกลง ซึ่งมักมาพร้อมแรงกดดันจากการขู่ใช้มาตรการภาษีและข้อจำกัดทางการค้า เป็นปัจจัยที่ทำให้ประเทศคู่เจรจามีแรงจูงใจเข้ามานั่งโต๊ะมากขึ้น
เบอร์รีเสริมว่า โครงการนี้สะท้อนจุดเน้นของรัฐบาลทรัมป์สมัยที่สองที่ให้ความสำคัญกับ “วัตถุดิบต้นน้ำ” ซึ่งเป็นฐานของเครื่องจักรและเทคโนโลยีขั้นสูง มากกว่าการมุ่งเพียงการสร้างหรือเข้าซื้อเทคโนโลยีสำเร็จรูปในปลายน้ำ
การประชุมสุดยอด Pax Silica ครั้งแรกจัดขึ้นที่กรุงวอชิงตันเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม โดยมีประเทศเข้าร่วม ได้แก่ ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร อิสราเอล ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ขณะที่แคนาดา ไต้หวัน สหภาพยุโรป และองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) เข้าร่วมในฐานะแขกรับเชิญ ในบรรดาประเทศที่เข้าร่วม มี 6 ประเทศที่ลงนามในแถลงการณ์ร่วม ซึ่งเรียกร้องให้รับมือกับ “แนวปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามกลไกตลาด” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่สหรัฐฯ ใช้กับจีนมาอย่างต่อเนื่อง
ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ยังได้ลงนามแถลงการณ์ทวิภาคีแยกต่างหาก ว่าด้วยแนวทางร่วมด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่งเฮลเบิร์กระบุว่าเป็นรากฐานสำคัญของ Pax Silica นักวิเคราะห์ชี้ว่า ประเทศที่ได้รับเลือกต่างมีบทบาทเฉพาะตัวในห่วงโซ่อุปทานโลก ตั้งแต่เครื่องจักรขั้นสูงของญี่ปุ่น ไปจนถึงเครื่องลิโทกราฟีของเนเธอร์แลนด์ที่ใช้ในการกัดวงจรบนชิปขั้นสูง
ในอีกด้านหนึ่ง การไม่เชิญอินเดีย เวียดนาม และนิวซีแลนด์ ได้สะท้อนยุทธศาสตร์การสร้างพันธมิตรแบบ “เป็นลำดับชั้น” ของสหรัฐฯ แม้อินเดียจะมีความทะเยอทะยานด้าน AI และมีบทบาทเพิ่มขึ้นในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีโลก ขณะที่เวียดนามเป็นจุดหมายหลักของบริษัทที่ต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน และนิวซีแลนด์มีบทบาทในกลุ่ม Five Eyes นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าประเทศเหล่านี้อาจถูกเก็บไว้เป็น “ไพ่ต่อรอง” ในเกมยุทธศาสตร์ระยะยาว
เฮลเบิร์กย้ำว่า การคัดเลือกประเทศในระยะแรกมุ่งเน้นกลุ่มแกนกลางของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ได้แก่ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเนเธอร์แลนด์ พร้อมเปิดช่องว่าประเทศผู้ส่งออกแร่รายใหญ่อย่างแองโกลาอาจถูกดึงเข้ามาในอนาคต และสหรัฐฯ ยังเดินหน้าหารือทวิภาคีกับประเทศอย่างอาร์เจนตินา อินเดีย และไต้หวัน
ทั้งนี้ ในเชิงการแข่งขันกับจีน ผู้เชี่ยวชาญยอมรับว่าการแยกห่วงโซ่อุปทานออกจากจีนอย่างสมบูรณ์แทบเป็นไปไม่ได้ ความสำเร็จของ Pax Silica จึงไม่ถูกวัดจาก “การตัดขาด” แต่จากการลดการพึ่งพาที่กระจุกตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้เพียงการลดส่วนแบ่งตลาดแม่เหล็กแร่หายากของจีนจากมากกว่า 90% ลงมาเหลือราว 70-75% ภายในไม่กี่ปี ก็ถือเป็น “ชัยชนะครั้งใหญ่” แล้ว
ปัจจุบัน จีนยังคงแสดงทีท่าระมัดระวังต่อ Pax Silica โดยกระทรวงการต่างประเทศจีนเรียกร้องให้ประเทศที่เกี่ยวข้องยึดหลักเศรษฐกิจตลาดและการแข่งขันที่เป็นธรรม อย่างไรก็ตาม ในโลกที่ศูนย์ข้อมูล AI ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ความต้องการทองแดง แร่หายาก และวัตถุดิบสำคัญอื่น ๆ กำลังเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด สมรภูมิการแย่งชิงทรัพยากรต้นน้ำจึงมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรง และ Pax Silica คือหมากสำคัญที่รัฐบาลทรัมป์เลือกวางลงบนกระดานการแข่งขันแห่งศตวรรษที่ 21
ที่มา: SCMP