
“กำแพงภาษี” “สงครามการค้า” และ “ภาษีตอบโต้” ศัพท์เหล่านี้ปรากฎบนหน้าสื่อมากขึ้นในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา สะท้อนการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจอย่างเปิดเผยมากขึ้น หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ ย่อมส่งแรงสั่นสะเทือนไปสู่ประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวเอาไว้ที่งาน เสวนา THAILAND’S POSITION IN THE NEW WORLD ORDER จุดยืนของไทยในวันที่โลกแบ่งขั้วว่า สหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศตะวันตกประเทศใหญ่แห่งนี้ถือว่าคือ “Underwriter”
ดร.ศุภวุฒิอธิบายว่า Underwriter เป็นศัพท์นักลงทุน หมายถึงผู้มีอำนาจกะเกณฑ์ระเบียบได้ เหมือนกับสหรัฐฯ ที่เป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ด้วยอำนาจการเงิน การทหาร เศรษฐกิจ ไม่ว่าด้านใดก็เป็นผู้นำโลกไปเสียหมด จึงมีอภิสิทธิ์ขีดเขียนชี้นำการดำเนินแนวทางของโลก อย่างการค้าเสรี เป็นต้น
“แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้คือ ทรัมป์บอกว่า สหรัฐฯ ไม่เป็น underwriter แล้ว [...] ระเบียบโลกมันจึงแตกเป็นเสี่ยง ๆ ไม่รู้จะจับกลุ่มกันยังไง” ดร.ศุภวุฒิกล่าว และชี้ให้เห็นภาพว่า เราอาจจะเรียกช่วงเวลาได้นี้ว่าเป็น “ช่วงเปลี่ยนผ่าน”
ดร.อธิบายต่อว่า ต้นเหตุความปั่นป่วนคือ อำนาจของจีนเพิ่มขึ้นจนแทบจะเทียบเท่าสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ยอมไม่ได้ จึงเกิดการวัดกำลังกันในหลายด้าน ทั้งภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และนวัตกรรม ทำให้เกิดผลกระทบต่อ “ปัญหาระยะยาวสามเรื่องของโลก” คือ: วิกฤตสภาพภูมิอากาศ, สังคมสูงวัย, และหนี้ของรัฐบาลต่าง ๆ ในโลก ที่ควรจะแก้ได้ด้วยเทคโนโลยี แต่เทคโนโลยีกลับถูกนำมาใช้ห่ำหั่นกันแทน
อาจารย์ศภวุฒิมองว่า “การเปลี่ยนจุดยืน” คือสิ่งที่ทุกประเทศต้องทำในสถานการณ์ความปั่นป่วนของโลกไร้ระเบียบเช่นนี้ แต่ไทยจะยืนตรงไหนต้องมาย้อนดู “ศักยภาพ” ที่เรามีและ “พันธมิตร” ที่เราอยากคบ
ดร.ยกตัวอย่างสิงคโปร์ในฐานะประเทศที่มีจุดยืนชัดเจนที่รวดเร็วมาก เพราะเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูง ทั้งด้านประชากร เทคโนโลยี เศรษฐกิจ อันเป็นภูมิต้านทานต่ออุปสรรคต่าง ๆ อาทิ การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งดร.ศุกวุฒิชี้ว่า สิงคโปร์ไม่ได้รับความเดือดร้อนมากเท่าประเทศอื่นอย่าง ไทย ดังนั้น ดร.แนะว่าไทยต้องมีแนวทางการพัฒนาชัดเจนก่อนว่าอยากเป็นแบบไหน
“หากเราอยากเน้นอาหารแปรรูปส่งออก และเน้นอาหารที่มีคุณภาพ อยากทำเรื่อง wellness, เรื่องบริการ, เรื่องลอจิสติกต์ของภูมิภาค เราก็จะเห็นว่าเราอาจสร้างแนวร่วมกับเกษตรกรของสหรัฐ ได้ เพราะเราอาจนำสินค้าเกษตรจากเขามาแปรรูปเป็นอาหาร ซึ่งตรงนี้คงไม่มีใครมาว่า ไม่มีใครมากีดกัน” อาจารย์อธิบาย กล่าวว่าแนวทางการพัฒนาแบบนี้เป็น “Blue Ocean” ของไทย และให้ความเห็นถึงศักยภาพของไทยที่อาจเชื่อมรถไฟความเร็วสูงจากจีนไปถึงมาเลเซียได้
“การทำอะไรโดยเอาผลประโยชน์ของตนเองเป็นที่ตั้ง จุดยืนเราจะชัดเจนเองในลักษณะที่ประเทศอื่นเขาก็ไม่ว่ากัน”
อาจารย์กล่าวว่า ในอนาคตอันใกล้ สหรัฐฯ จะพอใจกับความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่ตนสร้างขึ้น หรืออาจ “ยอม” แล้วทำให้สถานการณ์สงบลงในที่สุด บนจุดที่เจ้ามหาอำนาจแห่งนี้พึงพอใจ ไทยและประเทศที่มีความคิดเห็นคล้ายกัน ต้องมารวมตัวเพื่อสรางระเบียบเศรษฐกิจใหม่ ที่ซึ่งสหรัฐฯ ไม่ใช่ underwriter หรือผู้ขีดชี้ระเบียบของโลกอีกต่อไปแล้ว
หากมองมาที่ประเทศไทยโดยจำเพาะ ซึ่งมีการเติบโตทางเศรษฐกิจช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แล้วตั้งคำถามว่า เป็นเพราะอะไร? ดร.ศุภวุฒิชี้ว่า ต้องย้อนกลับมามอง 2 ส่วนคือ: นโยบายเศรษฐกิจมหาภาค และโครงสร้างเศรษฐกิจ
ข้อแรกคือเศรษฐกิจมหาภาค ซึ่งดร.ศุภวุฒิตั้งคำถามว่า “ตึงเกินไป” หรือไม่ และชี้ให้เราเห็น 3 สัญญาณที่บ่งบอกความอ่อนแอของเศรษฐกิจภายในประเทศคือ
ด้านนโยบายการคลัง ที่ไทยขาดดุลงบประมาณอยู่ราว 4% ต่อ GDP แต่ GDP ประเทศกลับโตราว 2% เท่านั้น ดร.ศุภวุฒิตั้งคำถามว่า หากไทยลดการขาดดุลงบประมาณลงเหลือ 2.1% ภายใน 5 ปีตามความตั้งใจของคุณเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงการคลังแล้ว ไทยจะมีการเติบโตของ GDP อยู่ที่เท่าไหร่ เพราะแนวทางดังกล่าวจะทำให้นโยบายการคลังตึงตัวขึ้นอีก
“เพราะว่าจากที่พยากรณ์ไป [หากลดการขาดดุล] รายจ่ายภาครัฐจะแทบไม่โตเลย อาจโตแค่ 1% ในขณะที่รายรับจะเพิ่มเรื่อย ๆ และหากขึ้นภาษี VAT ด้วย ฝั่งเศรษฐกิจดำเนินนโยบายแบบนี้ อีกฝั่งหนึ่ง [ภาคการเงิน] ต้องเข้ามารับลูก ไม่อย่างนั้นเศรษฐกิจมหภาคจะตายน้ำตื้น”
อีกด้านที่ดร.ศุภวุฒิกล่าวถึงคือโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่ “ไม่เอื้อต่อการเติบโต” ที่ชี้ว่าสามารถพัฒนาได้ใน 2 ส่วนคือ พลังงาน คือการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน และแรงงาน คือการพัฒนาแรงงานด้วยการ upskill และ reskill
อีกส่วนหนึ่งที่ดร.ศุภวุฒิชี้ว่า เป็น “แนวคิด” ของคนไทยที่อาจต้องมาพิจารณากันให้ถี่ถ้วนคือ “การเป็นฐานการผลิต” ที่สะท้อนในแนวทางเศรษฐกิจไทยมาหลายครั้ง หลายอุตสาหกรรม และล่าสุดคือ ศูนย์ข้อมูลหรือ Data center
“ดาต้าเซ็นเตอร์ใช้เงินเยอะ จ้างงานน้อย ใช้ไฟฟ้าเยอะ ใช้น้ำเยอะ คิดให้ดีว่ายังอยากเป็นฐานการผลิตหลักหรือเปล่า” ดร.ตั้งคำถาม
“ในความเห็นผม ผมอยากให้ประเทศของเรามีแค่ 3 อย่างครับ คือ ปลอดภัย อาหารอร่อย และอยู่แล้วสุขภาพดี อายุยืน” อาจารย์ให้ความเห็น เนื่องจากแนวทางด้านบริการและสุขภาพจะไม่ชนกับจีน ซึ่งตั้งเป้าครองตลาดด้านอุตสาหกรรมอยู่แล้ว และอาจารย์เห็นว่าไทยจะสู้จีนได้ยากในด้านนี้