
วิกฤตน้ำท่วมในพื้นที่ 10 จังหวัดภาคใต้ นับเป็นหนึ่งในอุทกภัยที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี ทั้งในมิติชีวิตความเป็นอยู่และเศรษฐกิจฐานราก ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินความเสียหายรวมไว้ราว 40,000 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจท้องถิ่นกว่า 6 ใน 10 หรือ 61.6% จำเป็นต้องปิดกิจการชั่วคราว ท่ามกลางภาพเมืองเศรษฐกิจและชุมชนที่จมอยู่ใต้น้ำ กิจกรรมการค้า การท่องเที่ยว และการคมนาคมหยุดชะงักพร้อมกันในหลายจังหวัด
ข้อมูลล่าสุดระบุว่ามีประชาชนได้รับผลกระทบแล้วมากกว่า 2.19 ล้านคน ครอบคลุม 798,695 ครัวเรือน โดยสามจังหวัดที่ถูกกระทบหนักที่สุด ได้แก่ สงขลา นครศรีธรรมราช และพัทลุง เหตุปัจจัยสำคัญคือฝนตกหนักถึง 672.5 มิลลิเมตรภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งในเชิงสถิติพบได้ราวหนึ่งครั้งในรอบ 300 ปี ปริมาณน้ำระดับนี้ทำให้เกิดน้ำหลากฉับพลัน ระบายน้ำไม่ทัน โครงสร้างพื้นฐานและที่อยู่อาศัยเสียหายเป็นวงกว้าง จนระบบเศรษฐกิจในหลายพื้นที่เข้าสู่ภาวะชะงักงัน
สถานการณ์อุทกภัยครั้งนี้ได้สร้างผลกระทบเป็นวงกว้างในพื้นที่ฝั่งอ่าวไทยของภาคใต้ โดยจังหวัดที่ได้รับผลกระทบหลัก ได้แก่ นครศรีธรรมราช สงขลา และพัทลุง จากการประเมินความเสียหายตามแผนที่พื้นที่เสี่ยง พบว่าหลายอำเภอถูกจัดอยู่ในระดับ “รุนแรงมาก” สะท้อนว่าน้ำท่วมไม่ได้จำกัดเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำ แต่ขยายตัวเข้าสู่เขตชุมชนเมือง ถนนสายหลัก โรงพยาบาล โรงเรียน และระบบสาธารณูปโภคที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ส่งผลให้การดำรงชีวิตของประชาชนหยุดชะงักในหลายพื้นที่พร้อมกัน
ข้อมูลจากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยระบุว่า มีประชาชนได้รับผลกระทบมากกว่า 2.19 ล้านคน ครอบคลุม 798,695 ครัวเรือน นับเป็นหนึ่งในวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี โดยจังหวัดสงขลามีจำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบสูงสุด 243,568 ครัวเรือน รองลงมาคือ นครศรีธรรมราช 223,221 ครัวเรือน และพัทลุง 151,622 ครัวเรือน ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนทั้งขนาดของพื้นที่ประสบภัย และความหนาแน่นของประชากรในจังหวัดเศรษฐกิจสำคัญที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
ในด้านสภาพอากาศ ปริมาณน้ำฝนที่วัดได้สูงสุดถึง 672.5 มิลลิเมตรภายใน 24 ชั่วโมง ถูกจัดว่าเป็นระดับฝน “สุดขั้ว” ที่เกิดขึ้นได้ยากมากในเชิงสถิติ หรือราวหนึ่งครั้งในรอบ 300 ปี ฝนที่ตกหนักต่อเนื่องในช่วงเวลาสั้นทำให้ระดับน้ำในคลอง แม่น้ำ และอ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดภาวะน้ำเอ่อล้นตลิ่งและน้ำหลากฉับพลัน ขณะที่ระบบระบายน้ำในหลายพื้นที่ไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลได้ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังในหลายอำเภอ
ในมิติทางเศรษฐกิจ ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบถือเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของประเทศ โดยทั้ง 10 จังหวัดภาคใต้มีมูลค่าเศรษฐกิจรวม หรือ GPP ราว 1.042 ล้านล้านบาทต่อปี หรือเฉลี่ยประมาณ 2,857 ล้านบาทต่อวัน สะท้อนบทบาทของพื้นที่ในฐานะแหล่งผลิต การค้า และบริการระดับภูมิภาคและระดับประเทศ ความเสียหายจากภัยพิบัติครั้งนี้จึงมีนัยต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยโดยตรง
ภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของภาคใต้ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน จากจำนวนนักท่องเที่ยวกว่า 36.3 ล้านคนต่อปี หรือเฉลี่ยประมาณ 99,452 คนต่อวัน เมื่อการเดินทางถูกยกเลิก แหล่งท่องเที่ยวปิดทำการ และโครงสร้างพื้นฐานเสียหาย รายได้ของผู้ประกอบการตั้งแต่ธุรกิจโรงแรม สายการบิน รถเช่า ร้านอาหาร ไปจนถึงผู้ค้ารายย่อยในชุมชนท่องเที่ยวจึงหดตัวในวงกว้าง
ข้อมูลจากหอการค้าระบุว่า รายได้จากภาคท่องเที่ยวของ 10 จังหวัดอยู่ที่ประมาณ 315,000 ล้านบาทต่อปี หรือเฉลี่ยวันละราว 865 ล้านบาท การหยุดชะงักเพียงช่วงสั้นย่อมแปลเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูญเสียในระดับสูง โดยเฉพาะในจังหวัดที่เศรษฐกิจผูกกับการท่องเที่ยวเป็นหลัก และมีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวสูงกว่าภาคอื่น
พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยคิดเป็นราว 5.5% ของ GDP ประเทศ ทำให้ภารกิจฟื้นฟูไม่ใช่เพียงการซ่อมแซมบ้านเรือนและถนน แต่หมายถึงการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระดับประเทศ หากการฟื้นตัวยืดเยื้อ อาจกระเทือนถึงภาคการผลิต การจ้างงาน และกำลังซื้อของครัวเรือนในวงกว้าง
การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากอุทกภัยครั้งนี้สะท้อนว่า มูลค่าความเสียหายรวมอาจสูงถึงราว 40,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 0.22% ของ GDP ประเทศ ชี้ให้เห็นว่าวิกฤตน้ำท่วมในภาคใต้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในระดับพื้นที่ หากแต่ส่งแรงสั่นสะเทือนไปถึงภาพรวมเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจไทยยังอยู่ระยะฟื้นตัวจากภาวะชะลอตัวในหลายภาคส่วน
ในช่วง “ระยะกระแทกตรง” หรือ Direct Impact ตั้งแต่วันแรกของเหตุการณ์ ธุรกิจจำนวนมากจำเป็นต้องปิดดำเนินการ การท่องเที่ยวหยุดชะงัก และโครงสร้างพื้นฐานบางส่วนไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้ความสูญเสียทางเศรษฐกิจพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด ข้อมูลระบุว่าความเสียหายรายวันอาจอยู่ในช่วง 1,000-1,500 ล้านบาทต่อวันในช่วงที่สถานการณ์รุนแรงที่สุด โดยเฉพาะในจังหวัดศูนย์กลางเศรษฐกิจอย่างสงขลาและนครศรีธรรมราช ซึ่งได้รับแรงกระแทกโดยตรงจากการหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
เมื่อพ้นจุดวิกฤตเข้าสู่ช่วง “ผลกระทบตกค้าง” หรือ Lingering Effects ภาพเศรษฐกิจเริ่มทยอยฟื้นตัว แต่เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ธุรกิจจำนวนไม่น้อยยังไม่สามารถกลับมาเปิดดำเนินงานได้ในทันที ภาคการท่องเที่ยวยังต้องใช้เวลาเรียกความเชื่อมั่น ขณะที่ผู้ประกอบการรายย่อยต้องเผชิญภาระต้นทุนในการซ่อมแซมทรัพย์สินและฟื้นกิจการ ท่ามกลางข้อจำกัดด้านสภาพคล่องที่ตึงตัว
หอการค้าไทยมองว่า แม้ความเสียหายจากเหตุอุทกภัยภาคใต้ครั้งนี้โดยรวมจะยังไม่รุนแรงถึงขั้นฉุดเศรษฐกิจทั้งระบบให้ชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ แต่ผลกระทบเชิงโครงสร้างในระดับภูมิภาคมีแนวโน้มยืดเยื้อกว่าตัวเลขประเมิน หากมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูไม่ดำเนินการอย่างรวดเร็ว วิกฤตครั้งนี้อาจทิ้ง “บาดแผลทางเศรษฐกิจ” เอาไว้กับภาคใต้ ทั้งในรูปของการหดตัวของการจ้างงาน รายได้ครัวเรือนที่ลดลง และความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจท้องถิ่นในระยะยาว
การจำแนกความเสียหายตามภาคเศรษฐกิจชี้ว่า ภาคบริการและการท่องเที่ยวเป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยความเสียหายประเมินอยู่ที่ 22,440 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด ด้านภาคการเกษตรซึ่งเป็นฐานรายได้หลักของประชาชนในหลายจังหวัด ได้รับความเสียหายประมาณ 10,720 ล้านบาท จากพื้นที่เพาะปลูกที่ถูกน้ำท่วม การสูญเสียผลผลิต และผลกระทบต่อปศุสัตว์และประมงพื้นบ้าน เกษตรกรจำนวนมากจึงต้องเผชิญภาวะรายได้ขาดช่วง พร้อมภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางต้นทุนการฟื้นฟูที่สูงขึ้นต่อเนื่อง
ด้านภาคการผลิตและสาธารณูปโภค มีความเสียหายราว 6,840 ล้านบาท จากการหยุดสายการผลิตของโรงงานบางแห่ง รวมถึงผลกระทบต่อระบบไฟฟ้าและน้ำประปา ซึ่งส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานในวงกว้าง แม้มูลค่าความเสียหายจะต่ำกว่าสองภาคแรก แต่มีนัยสำคัญต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและจังหวะการฟื้นตัวโดยรวม
สาเหตุที่ภาคบริการได้รับผลกระทบรุนแรงเป็นพิเศษ มาจากการยกเลิกการจองและการปิดแหล่งท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซันระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม ธุรกิจค้าปลีก ร้านอาหาร และโรงแรมในเมืองหลักต้องปิดให้บริการชั่วคราว ขณะเดียวกัน การย้ายการแข่งขันกีฬา SEA Games ยังซ้ำเติมบรรยากาศการใช้จ่ายและความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ทำให้รายได้จากนักท่องเที่ยวและกิจกรรมขนาดใหญ่หายไปพร้อมกันในช่วงเวลาสำคัญ
การตัดสินใจย้ายการแข่งขันกีฬา SEA Games 2025 ออกจากจังหวัดสงขลาทั้งหมด สะท้อนความสูญเสียเชิง “โอกาสทางเศรษฐกิจ” และภาพลักษณ์ของพื้นที่ในระดับนานาชาติ โดยการแข่งขัน 10 ชนิดกีฬา ซึ่งมีการชิงชัยรวม 109 เหรียญทอง ถูกโอนย้ายไปจัดในกรุงเทพมหานคร อันเป็นผลจากข้อจำกัดด้านสภาพพื้นที่หลังน้ำท่วม ระดับความพร้อมของสนามแข่งขัน และความกังวลด้านสาธารณสุขในช่วงหลังน้ำลด
ผลกระทบเกิดขึ้นทันทีในเชิงรายได้ จังหวัดสงขลาสูญเสียเม็ดเงินจากการใช้จ่ายของนักกีฬา เจ้าหน้าที่ และผู้ติดตามการแข่งขันกว่า 5,000 คน ซึ่งเดิมจะเดินทางเข้ามาในพื้นที่ตลอดช่วงจัดการแข่งขัน รายได้จากโรงแรม ร้านอาหาร การเดินทาง และธุรกิจบริการจำนวนมากจึงหายไปพร้อมกัน ในขณะที่เศรษฐกิจท้องถิ่นกำลังเผชิญแรงกดดันจากภัยพิบัติอยู่ก่อนแล้ว
นอกเหนือจากเม็ดเงินที่หายไป สงขลายังพลาดโอกาสด้านการตลาดจากการประชาสัมพันธ์จังหวัดสู่สายตานานาชาติผ่านการถ่ายทอดสดและสื่อภูมิภาค ซึ่งโดยปกติอีเวนต์กีฬาใหญ่จะมีบทบาทเสมือนเวทีแสดงศักยภาพด้านการท่องเที่ยว การลงทุน และโครงสร้างพื้นฐาน แต่ครั้งนี้พื้นที่ต้องเสียโอกาสดังกล่าวไปโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในระยะยาว นักวิเคราะห์มองว่าการย้าย SEA Games อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อจังหวัดสงขลาในฐานะเจ้าภาพจัดงานระดับนานาชาติ ความน่าเชื่อถือด้านการบริหารจัดการวิกฤตและความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานอาจถูกตั้งคำถาม ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนและการดึงดูดอีเวนต์ขนาดใหญ่ในอนาคต หากการฟื้นฟูไม่สามารถยกระดับมาตรฐานสู่ความพร้อมอย่างยั่งยืน
เมื่อประเมินความเสียหายตามพื้นที่ พบว่า “สงขลา-หาดใหญ่” เป็นศูนย์กลางของแรงกระแทกทางเศรษฐกิจ โดยมูลค่าความเสียหายรวมของภาคใต้ 10 จังหวัดอยู่ที่ราว 40,000 ล้านบาทต่อเดือน ขณะที่จังหวัดสงขลามีความเสียหายเฉลี่ยประมาณ 24,000 ล้านบาทต่อเดือน และพื้นที่หาดใหญ่ราว 9,600 ล้านบาทต่อเดือน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนบทบาทของพื้นที่ต่อโครงสร้างเศรษฐกิจภาคใต้โดยรวมอย่างชัดเจน
ในเชิงกรอบการประเมิน ความเสียหายของภาคใต้ 10 จังหวัดอยู่ในช่วง 35,000-45,000 ล้านบาทต่อเดือน จังหวัดสงขลาอยู่ในช่วง 21,000-27,000 ล้านบาทต่อเดือน และหาดใหญ่อยู่ในช่วง 8,400-10,800 ล้านบาทต่อเดือน แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของผลกระทบ และความสำคัญของความเร็วในการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
หากแยกตามภาคเศรษฐกิจ ภาคบริการยังคงเป็นภาคที่เสียหายสูงสุด โดยภาพรวมภาคใต้ 10 จังหวัดมีความเสียหายภาคบริการ 22,440 ล้านบาทต่อเดือน รองลงมาคือภาคเกษตรกรรม 10,720 ล้านบาทต่อเดือน และภาคอุตสาหกรรม 6,840 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งสอดคล้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยว การค้า และบริการเป็นหลัก
ในระดับจังหวัดสงขลา ความเสียหายภาคบริการอยู่ที่ราว 13,464 ล้านบาทต่อเดือน ภาคเกษตรกรรม 6,432 ล้านบาทต่อเดือน และภาคอุตสาหกรรม 4,104 ล้านบาทต่อเดือน ขณะที่ในเขตหาดใหญ่ ภาคบริการเสียหายประมาณ 5,386 ล้านบาทต่อเดือน ภาคเกษตรกรรม 2,573 ล้านบาท และภาคอุตสาหกรรม 1,642 ล้านบาทต่อเดือน ภาพทั้งหมดสะท้อนว่า วิกฤตครั้งนี้กระทบต่อห่วงโซ่เศรษฐกิจอย่างครอบคลุม ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงภาคท่องเที่ยว
นักเศรษฐศาสตร์จากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงการประเมินในช่วงสถานการณ์วิกฤต หากการฟื้นฟูล่าช้า ความเสียหายรายเดือนอาจสะสมจนกลายเป็นแรงฉุดเศรษฐกิจทั้งปี และทำให้รายได้ของประชาชนในพื้นที่ลดลงในวงกว้างมากกว่าที่คาดไว้ในเบื้องต้น
สำหรับมาตรการเยียวยา การสำรวจจากหอการค้าไทยชี้ว่า สิ่งที่ผู้ประกอบการในพื้นที่น้ำท่วมต้องการมากที่สุด คือ เงินเยียวยาโดยตรงหรือเงินชดเชย คิดเป็นสัดส่วนถึง 56.5% เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนฉุกเฉินสำหรับประคองกิจการในช่วงที่รายได้หยุดลง ขณะที่ภาระค่าใช้จ่ายประจำ ทั้งค่าเช่าพื้นที่ ค่าแรงลูกจ้าง และต้นทุนคงที่อื่น ๆ ยังคงดำเนินต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
รองลงมาคือความต้องการให้รัฐเร่งซ่อมแซมสาธารณูปโภคในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นถนน ระบบไฟฟ้า และน้ำประปา ในสัดส่วน 14.7% และการสนับสนุนการทำความสะอาดพื้นที่หลังน้ำลดในสัดส่วน 10.6% ซึ่งสะท้อนว่าสภาพแวดล้อมประกอบธุรกิจในหลายพื้นที่ยังไม่พร้อมกลับมาเปิดดำเนินการได้ตามปกติ
ตัวเลขเหล่านี้ตอกย้ำว่าผู้ประกอบการจำนวนมากต้องการ “เงินสด” เพื่อเสริมสภาพคล่องในระยะสั้น มากกว่าการเข้าถึงแหล่งกู้ยืมในช่วงที่ความเสี่ยงทางธุรกิจสูงและกระแสรายได้ยังไม่กลับมา ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าการก่อหนี้ใหม่ในภาวะเช่นนี้มีแนวโน้มจะซ้ำเติมสถานะทางการเงิน และเพิ่มโอกาสที่กิจการจะไม่สามารถยืนระยะในระยะยาวได้ ซึ่งต่างจากเงินเยียวยาที่ช่วยลดแรงกดดันเฉพาะหน้า และเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจสามารถรอการฟื้นตัวได้จริง
ด้านนักวิเคราะห์เศรษฐกิจประเมินว่า ในช่วงที่ธุรกิจหยุดชะงักและความไม่แน่นอนปกคลุม การอัดฉีดเงินสดเข้าสู่ระบบมีประสิทธิภาพมากกว่าการพึ่งพามาตรการสินเชื่อ เพราะสามารถช่วยพยุงกระแสเงินสดของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง ลดการเลิกจ้างแรงงานในพื้นที่ และป้องกันการล้มกิจการเป็นลูกโซ่ ในขณะที่มาตรการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานจะทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถกลับมาเดินได้เร็วขึ้น
ในเชิงนโยบาย หอการค้าไทยจึงเสนอให้รัฐปรับบทบาทของ “สินเชื่อ” จากเครื่องมือหลักมาเป็น “ทางเลือกเสริม” สำหรับช่วงถัดไป โดยเฉพาะสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือ Soft Loan ควรถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนการลงทุนฟื้นฟูกิจการในระยะที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมขนาดใหญ่ การจัดซื้ออุปกรณ์ใหม่ หรือการปรับรูปแบบธุรกิจ มากกว่าจะนำมาอุดช่องว่างรายได้ในช่วงวิกฤตเฉพาะหน้า
ขณะเดียวกัน เส้นทางการฟื้นตัวของภาคธุรกิจภาคใต้หลังอุทกภัยครั้งใหญ่มีแนวโน้มยาวนานกว่าที่ประเมินไว้เดิม จากผลสำรวจล่าสุดพบว่าเกือบ 70% ของผู้ประกอบการคาดว่าจะต้องใช้เวลามากกว่า 1 เดือนจึงจะสามารถกลับมาเปิดกิจการได้ตามปกติ โดยตัวเลขอยู่ที่ 68.6% ซึ่งสะท้อนว่าความเสียหายครั้งนี้มิได้จำกัดอยู่เพียงระดับผิวเผิน แต่ได้กระทบลึกถึงกระบวนการผลิต การจัดจำหน่าย และห่วงโซ่อุปทานในหลายพื้นที่
อุปสรรคหลักประการแรกคือความเสียหายต่อทรัพย์สิน เครื่องมือ และสต็อกสินค้า ผู้ประกอบการจำนวนมากสูญเสียสินค้าไปกับน้ำ และต้องเริ่มต้นกระบวนการจัดซื้อใหม่เกือบทั้งหมด ส่งผลให้เกิดภาระต้นทุนเพิ่มเติมในจังหวะที่กระแสเงินสดตึงตัวอย่างหนัก และทำให้การกลับมาเปิดกิจการต้องเลื่อนออกไปโดยปริยาย
ปัจจัยถัดมาคือปัญหาด้านสภาพคล่อง ผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนไม่น้อยขาดเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอสำหรับงานซ่อมแซม การจัดหาเครื่องมือ และการเติมสต็อกสินค้า ขณะเดียวกัน รายได้กลับเป็นศูนย์ในช่วงเวลาหนึ่ง ทำให้การพึ่งพาเงินกู้หรือความช่วยเหลือจากภายนอกกลายเป็นทางเลือกจำเป็น แม้จะเป็นภาระในระยะต่อไปก็ตาม
นอกจากนี้ ความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐานยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัว ถนนบางสายยังไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่ ระบบไฟฟ้าและประปายังไม่เสถียรในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้า การเข้าถึงลูกค้า และการดำเนินชีวิตประจำวัน แม้บางกิจการจะมีความพร้อมด้านสถานที่ แต่หากระบบสาธารณูปโภคยังไม่สมบูรณ์ การกลับมาเปิดกิจการก็ยังไม่สามารถทำได้อย่างเต็มรูปแบบ
ภาพรวมทั้งหมดสะท้อนว่า การฟื้นเศรษฐกิจภาคใต้หลังวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ เป็นภารกิจระยะยาวที่ต้องพึ่งพาการประสานงานจากหลายภาคส่วน ไม่ใช่เพียงการเยียวยาระยะสั้นเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน การดูแลสภาพคล่อง และการวางกลไกสนับสนุนการลงทุนในอนาคต เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถกลับมาแข็งแรงและยืนระยะได้อย่างยั่งยืน