
สถานการณ์อุทกภัยในหลายจังหวัดภาคใต้ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาได้ทิ้งร่องรอยความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในวงกว้าง โดยเฉพาะรถยนต์ที่ถูกน้ำท่วมเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถใช้งานได้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) จึงเร่งยกระดับกลไกช่วยเหลือเชิงรุก ประสานภาคธุรกิจประกันภัยกำหนดมาตรการเร่งด่วน เพื่อให้การเยียวยาเข้าถึงผู้ประสบภัยอย่างเป็นรูปธรรมและทันท่วงที
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่เพียงสะท้อนบทบาทของ คปภ. ในฐานะผู้กำกับดูแลระบบประกันภัย หากยังตอกย้ำความจำเป็นของการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐและเอกชนในยามวิกฤต เพื่อให้ประชาชนได้พึ่งพาระบบประกันภัยเป็นหลักประกันความมั่นคง ขณะเดียวกันยังเป็นการทดสอบความพร้อมของบริษัทประกันภัยต่อการรับมือภัยพิบัติขนาดใหญ่ ซึ่งกระทบต่อผู้เอาประกันจำนวนมากในระยะเวลาใกล้เคียงกัน
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ คปภ. ได้มอบหมายให้นายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการ ด้านกฎหมายและตรวจสอบ เป็นประธานการประชุมร่วมกับบริษัทประกันภัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ โดยมีนายคณานุสรณ์ เที่ยงตระกูล ผู้ช่วยเลขาธิการ สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ เข้าร่วม ณ ห้องประชุมสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง ชั้น 2 สำนักงาน คปภ. ถนนรัชดาภิเษก
นายอดิศรกล่าวว่า ภายหลังเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมากและสร้างความเสียหายแก่รถยนต์เป็นวงกว้าง สำนักงาน คปภ. ได้เร่งประสานความร่วมมือกับบริษัทประกันภัยทุกแห่ง เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างเร่งด่วนและทั่วถึง โดยได้ขอความร่วมมือให้จัดส่งรถยกเข้าพื้นที่เพื่อเคลื่อนย้ายรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และไม่จำกัดว่ารถคันนั้นจะทำประกันกับบริษัทใด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น และสร้างหลักประกันว่าประชาชนจะได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียม
มาตรการเคลื่อนย้ายรถฟรีถือเป็นหัวใจสำคัญในช่วงแรกของการแก้ปัญหา เพราะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายฉุกเฉินของเจ้าของรถ และเปิดทางให้กระบวนการประเมินความเสียหายดำเนินการได้โดยไม่ล่าช้า โดย คปภ. เน้นย้ำให้ทุกบริษัทส่งต่อความช่วยเหลือโดยไม่เลือกค่ายประกัน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการบริการอย่างไม่สะดุดในยามวิกฤต
ในส่วนของการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน คปภ. วางกรอบเวลาที่ชัดเจนเพื่อเร่งกระบวนการเยียวยา สำหรับประกันภัยรถยนต์ หากเป็นความเสียหายสิ้นเชิง บริษัทประกันภัยต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนเต็มตามทุนประกันภายใน 7 วันนับจากวันที่ได้รับเอกสารครบถ้วน หากผู้เอาประกันภัยไม่ประสงค์รับข้อเสนอคืนทุน และเลือกนำรถไปซ่อมเอง บริษัทจะชดใช้ค่าซ่อมไม่เกินร้อยละ 70 ของทุนประกัน พร้อมคืนเบี้ยประกันส่วนที่เหลือตามสัดส่วนจากการยกเลิกกรมธรรม์
กรณีเสียหายบางส่วน บริษัทต้องเร่งตรวจสอบประเมินความเสียหาย และประสานอู่ซ่อมรถทั้งในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง เพื่อรองรับปริมาณรถที่หลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก และเร่งให้การซ่อมแซมแล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้รถได้ตามปกติ
สำหรับการประกันวินาศภัยประเภทอื่นในพื้นที่ประกาศภัยพิบัติหรือพื้นที่ได้รับอิทธิพลพายุ ตามรายงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยให้พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมจำนวน 20,000 บาท ขณะที่กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยหรือประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินที่คุ้มครองภัยน้ำท่วม ให้พิจารณาชดใช้ 30,000 บาท ทั้งนี้ไม่เกินวงเงินคงเหลือตามกรมธรรม์ หากมูลค่าความเสียหายเกินกว่าจำนวนดังกล่าว ผู้เอาประกันภัยต้องยื่นเอกสารหลักฐานเพื่อให้บริษัทประกันภัยพิจารณาค่าชดใช้เพิ่มเติม และบริษัทต้องดำเนินการจ่ายค่าสินไหมภายใน 3 วันหลังได้รับเอกสารครบถ้วน
ด้านผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัย คปภ. ได้บูรณาการความร่วมมือกับนายวิทยา จันทน์เสนะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา และพล.ต.อ.สำราญ นวลมา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอรายชื่อและเลขบัตรประชาชนของผู้เสียชีวิตที่ผ่านการพิสูจน์อัตลักษณ์แล้ว เพื่อนำเข้าสู่ระบบ IBS (Insurance Bureau System) สำหรับตรวจสอบสิทธิความคุ้มครอง และประสานบริษัทประกันภัยให้เร่งจ่ายค่าสินไหมแก่ผู้รับประโยชน์หรือทายาทโดยเร็ว พร้อมเปิดสายด่วน คปภ. 1186 ตลอด 24 ชั่วโมง ให้ประชาชนสอบถามข้อมูลการประกันภัยได้โดยตรง
สำนักงาน คปภ. ย้ำว่าการออกมาตรการครั้งนี้เป็นการดำเนินงานเชิงรุกเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยเกิดผลจริงในภาคปฏิบัติ โดยจะกำกับติดตามบริษัทประกันภัยทุกแห่งอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ประชาชนได้รับการดูแล คุ้มครอง และเยียวยาอย่างรวดเร็วที่สุด พร้อมยืนยันบทบาทของ คปภ. ในการยืนหยัดเคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์วิกฤต