
ภาคใต้กำลังเผชิญอุทกภัยครั้งใหญ่จากฝนที่ตกต่อเนื่อง อันเป็นผลจากอิทธิพลของร่องมรสุมและมวลอากาศชื้นจากอ่าวไทยที่ปกคลุมพื้นที่ยาวนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ศูนย์วิจัยกรุงศรีประเมินว่า ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการหยุดชะงักของกิจกรรมการค้า การท่องเที่ยว และภาคบริการ มีมูลค่าสูงราว 1.18-2.36 หมื่นล้านบาท สะท้อนต้นทุนทางเศรษฐกิจที่พุ่งสูงขึ้นตามระดับน้ำท่วมขังและความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวในระยะถัดไป
การประเมินดังกล่าวสะท้อนภาพเศรษฐกิจท้องถิ่นในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างที่ชะงักงันพร้อมกันในหลายมิติ ตั้งแต่ร้านค้าปลีก ร้านอาหาร โรงแรม และแหล่งท่องเที่ยว ไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรมและระบบโลจิสติกส์ที่พึ่งพาการคมนาคมทางถนนและรถไฟเป็นหลัก โดยพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่อยู่ในเขตชุมชนเมืองและย่านเศรษฐกิจสำคัญ
หากระดับน้ำยังคงสูงหรือการระบายน้ำทำได้ล่าช้า ความเสียหายมีแนวโน้มจะลุกลามเป็นวงกว้าง ไม่เพียงกระทบรายได้ของผู้ประกอบการ แต่ยังซ้ำเติมภาระของครัวเรือนจำนวนมากที่ต้องหยุดงานหรือขาดรายได้ในช่วงวิกฤตนี้
ข้อมูลศูนย์วิจัยกรุงศรี ระบุว่า อุทกภัยในภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 17-25 พฤศจิกายน 2568 ได้สร้างความเสียหายครอบคลุม 12 จังหวัด โดยล่าสุดยังคงมีพื้นที่ได้รับผลกระทบต่อเนื่องใน 9 จังหวัด ได้แก่ สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส พัทลุง นครศรีธรรมราช ตรัง สตูล และสุราษฎร์ธานี
ในหมู่จังหวัดที่ได้รับผลกระทบ ‘จังหวัดสงขลา’ เป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ครอบคลุมทั้ง 16 อำเภอ โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้า และคมนาคมของภาคใต้ตอนล่าง กำลังเผชิญวิกฤตที่ถูกระบุว่าหนักที่สุดในรอบหลายสิบปี จากระดับน้ำท่วมสูงและพื้นที่เสียหายเป็นบริเวณกว้าง ส่งผลให้ชุมชนเมืองหลายย่านไร้กระแสไฟฟ้าและน้ำประปา ธุรกิจจำนวนมากปิดกิจการชั่วคราว
ข้อมูลจากกรมชลประทานระบุว่า เฉพาะบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา มีปริมาณฝนสะสมสูงถึง 630 มิลลิเมตรในเวลาเพียง 3 วัน สูงกว่าสถิติน้ำท่วมใหญ่ปี 2553 ที่เคยอยู่ที่ 428 มิลลิเมตร สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ระดับน้ำในลำคลองและแม่น้ำสายหลักเอ่อล้นเข้าท่วมชุมชนอย่างรวดเร็ว
ด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยรายงานว่า มีครัวเรือนประสบภัยแล้ว 806,677 ครัวเรือน หรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบมากกว่า 2.2 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 13 ราย ขณะที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในภาพรวมอยู่ที่ราว 1,000-1,500 ล้านบาทต่อวัน ส่วนหอการค้าจังหวัดสงขลาประเมินความสูญเสียเฉพาะอำเภอหาดใหญ่เบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท
นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ยังได้รับความเสียหายอย่างหนัก โรงกรองน้ำของการประปาส่วนภูมิภาคสาขาหาดใหญ่ถูกน้ำท่วมสูงกว่า 3 เมตร ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำท่วมปี 2553 ส่งผลให้ไม่สามารถผลิตและจ่ายน้ำประปาให้กับประชาชนในเขตเมืองหาดใหญ่ได้ ระบบคมนาคมก็ถูกตัดขาดในหลายจุด โดยในจังหวัดสงขลามีถนนเสียหาย 228 สาย และสะพาน 12 แห่ง
ขณะเดียวกันเส้นทางรถไฟในหลายพื้นที่ต้องหยุดให้บริการ ทำให้การสัญจรทางบกสู่ภาคใต้ตอนล่างหยุดชะงัก ภาคเกษตรได้รับผลกระทบเช่นกัน ข้อมูลระบุว่า เฉพาะจังหวัดสงขลามีพื้นที่เกษตรเสียหายกว่า 37,000 ไร่ โดยเฉพาะสวนยางพาราและพื้นที่เพาะปลูกหลักที่เป็นแหล่งรายได้สำคัญของครัวเรือน
วิจัยกรุงศรีประเมินว่าอุทกภัยในภาคใต้ครั้งนี้สร้างความเสียหายหลายรูปแบบ ทั้งต่อสิ่งปลูกสร้าง บ้านเรือน โรงงาน เครื่องจักร ยานพาหนะ และเส้นทางคมนาคม นอกจากนี้ เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบเป็นเขตชุมชนและเขตเศรษฐกิจ เป็นหลัก หากระดับน้ำยังคงเพิ่มสูงขึ้นจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฉพาะภาคการค้าและบริการ ภาคการท่องเที่ยว ตลอดจนโรงแรมและภัตตาคาร
ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีได้ประเมินมูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจจากอุทกภัยภาคใต้ปี 2568 ภายใต้การจำลองสถานการณ์ 3 ฉากทัศน์ ดังนี้
อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาที่ใช้ในการฟื้นฟูขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิ ความสูงของระดับน้ำและระยะเวลาที่น้ำท่วมขัง เนื่องจากหากน้ำท่วมสูงและขังนาน ภาคธุรกิจต้องทำความสะอาดและตรวจสอบระบบไฟฟ้า/เครื่องจักร ซึ่งทำให้การกลับมาดำเนินธุรกิจต้องใช้เวลานานขึ้น
อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อความสามารถในการฟื้นฟูคือประเภทธุรกิจ โดยวิจัยกรุงศรี ประเมินว่า กลุ่มร้านค้าปลีก/บริการ อาจสามารถฟื้นฟูได้เร็ว แต่หากเกิดความเสียหายกับเครื่องจักร เฟอร์นิเจอร์ หรือสต็อกสินค้า หรือหากต้องซ่อมแซมผนัง พื้น และรอการเปลี่ยนอุปกรณ์/เครื่องมือ อาจต้องใช้เวลานานขึ้นก่อนกลับมาดำเนินการใหม่ได้ โดยเฉพาะโรงงาน/โรงแรมที่มีเครื่องจักรและระบบที่ซับซ้อน อาจต้องใช้เวลาตรวจซ่อมและติดตั้งใหม่ยาวนานกว่า
นอกจากนี้ การเข้าถึงความช่วยเหลือก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน โดยวิจัยกรุงศรี ระบุว่า ธุรกิจจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว หากภาครัฐมีความพร้อมและเร่งตรวจสอบ ซ่อมแซมระบบไฟฟ้าและประปา และสนับสนุนการเร่งรัดการอนุมัติ/จ่ายเงินประกันภัยเพื่อเป็นทุนฟื้นฟูกิจการ
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสภาพอากาศ ตัวเลขความเสียหายครั้งนี้จึงไม่เพียงสะท้อนความรุนแรงของอุทกภัย แต่ยังเป็นบททดสอบความพร้อมของระบบช่วยเหลือภาครัฐในการรับมือกับภัยพิบัติที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในอนาคตอีกด้วย