
โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล “คนละครึ่งพลัส” เตรียมกลับมาอีกครั้งใน เฟส 2 โดยมีเป้าหมายต่อยอดบรรยากาศการจับจ่ายที่คึกคักต่อเนื่องจากปลายปี 2568 สู่ต้นปี 2569 นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังเร่งสรุปรายละเอียดของมาตรการใหม่ เพื่อเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือนธันวาคมนี้ และคาดว่าจะเริ่มเปิดใช้จ่ายได้ทันทีในเดือนมกราคม 2569
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังยืนยันว่าแนวคิดของ “คนละครึ่งเฟส 2” มุ่งเน้น “ความเป็นธรรม” ระหว่างผู้ได้รับสิทธิในเฟสแรกและผู้ลงทะเบียนใหม่ โดยตั้งเป้าหมายให้ผู้เข้าร่วมโครงการทุกคนได้รับสิทธิรวม 4,000 บาทเท่ากัน พร้อมย้ำว่า ผู้ที่ได้รับสิทธิในเฟสแรกแต่ยังไม่เปิดใช้จ่ายภายใน วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน 2568 จะถูกตัดสิทธิ์ทันที วงเงินที่เหลือจะถูกนำกลับมาคำนวณรวมในรอบใหม่ เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการงบประมาณอย่างคุ้มค่า
นายลวรณ แสงสนิท ระบุว่า รัฐบาลมีแนวคิดให้ผู้เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส ระยะที่ 2” ได้รับสิทธิรวม 4,000 บาทต่อคน โดยคำนวณจากการได้รับสิทธิในรอบแรกและรอบสองรวมกัน
แนวทางนี้ถือเป็นการสร้าง “สมดุล” ระหว่างผู้ที่เข้าร่วมโครงการเดิมกับผู้เข้าร่วมใหม่ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียม
กระทรวงการคลังยังย้ำว่า ผู้ที่ยังไม่ได้เปิดใช้งานสิทธิในเฟสแรกภายในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ จะถูกตัดสิทธิ์โดยอัตโนมัติ และไม่สามารถลงทะเบียนรอบเก็บตกได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ถูกตัดสิทธิ์สามารถกลับมาลงทะเบียนใหม่ได้ในเฟส 2 เพื่อรับสิทธิวงเงินใหม่ในรอบต่อไป
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างหารือการจัดสรรงบประมาณจาก “งบกลาง” เพื่อสนับสนุนโครงการเฟสใหม่ โดยจะพิจารณาจำนวนสิทธิและวงเงินรวมที่เหมาะสม หลังจากได้รับความเห็นชอบจาก ครม. จึงจะประกาศวันลงทะเบียนอย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในเดือนมกราคม 2569
ปลัดกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า โครงการ “คนละครึ่งพลัส เฟส 2” เป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลเตรียมไว้เพื่อขับเคลื่อนกำลังซื้อภายในประเทศในช่วงต้นปีหน้า โดยมุ่งกระจายรายได้สู่ร้านค้ารายย่อยและผู้ประกอบการในชุมชน ผ่านการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศ
ทั้งนี้ การใช้สิทธิจะยังคงรูปแบบ “รัฐช่วยจ่ายครึ่งหนึ่ง” เช่นเดิม เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนออกมาใช้จ่ายจริงในระบบเศรษฐกิจ ทั้งยังมีแนวโน้มว่ารัฐบาลจะขยายความร่วมมือกับร้านค้าในระบบ “คนละครึ่งพลัส” ให้ครอบคลุมมากขึ้นในรอบใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับท้องถิ่น
นักวิเคราะห์ จาก KSecurities ประเมินว่า หากโครงการเริ่มได้ตามแผนในเดือนมกราคม 2569 จะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อการบริโภคภาคครัวเรือนช่วงต้นปี โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น CPALL, CPAXT และ BJC ซึ่งคาดว่าจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากปริมาณการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการรายย่อยและตลาดชุมชนก็จะได้รับอานิสงส์จากการหมุนเวียนของเงินในระบบมากขึ้น ถือเป็นมาตรการที่ช่วยทั้งเศรษฐกิจมหภาคและเศรษฐกิจฐานรากไปพร้อมกัน