ในยุคที่ค่าครองชีพพุ่งไม่หยุด แต่รายได้กลับนิ่งสนิท มนุษย์เงินเดือนไทยกำลังเผชิญแรงกดดันทางการเงินหนักที่สุดในรอบหลายปี ข้อมูลล่าสุดจากทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยในงาน “เปิด Insight มนุษย์เงินเดือน เดอะแบกตัวจริง การเงินยุคนี้” สะท้อนภาพชัดว่า “มนุษย์เงินเดือนไทย” คือกลุ่มที่ต้องแบกรับภาระเศรษฐกิจทั้งระบบไว้บนบ่าอย่างแท้จริง ผลสำรวจชี้ว่า 8 ใน 10 มีหนี้สินติดตัว และกว่าครึ่ง หรือ 51% ใช้ชีวิตแบบ “เดือนชนเดือน” ไม่ต่างจากการเดินบนเส้นด้ายระหว่างรายได้กับรายจ่าย ขณะที่อีกไม่น้อย “ติดแกลม” ใช้จ่ายเพื่อภาพลักษณ์มากกว่าความจำเป็น
ทีทีบีเตือนว่าแนวโน้มดังกล่าวกำลังกลายเป็น “กับดักทางการเงิน” ของชนชั้นกลางยุคใหม่ เพราะแม้มีรายได้ประจำ แต่พฤติกรรมทางการเงินส่วนใหญ่กลับขาดภูมิคุ้มกัน ทั้งออมเงินน้อย ไม่มีเงินสำรองฉุกเฉิน และขาดความคุ้มครองเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน สอดคล้องกับข้อมูลเชิงลึกจากโปรแกรมตรวจสุขภาพทางการเงิน “ttb financial health check” ที่พบว่ามนุษย์เงินเดือนกว่า 80% อยู่ในภาวะเปราะบางทางการเงินอย่างแท้จริง สะท้อนภาพชีวิตของ “เดอะแบกตัวจริง” ที่ต้องดิ้นรนทุกเดือน เพื่อให้เงินพอใช้และรักษาหน้าทางสังคมในเวลาเดียวกัน
ข้อมูลจากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) และ ttb analytics ณ เดือนมิถุนายน 2567 ระบุว่า คนไทยเกือบ 40% มีหนี้ในระบบ คิดเป็นหนี้เสีย 22% ของจำนวนคนที่มีหนี้ในระบบ โดยมีหนี้เฉลี่ยราว 540,000 บาทต่อคน เพิ่มขึ้นจากระดับ 535,000 บาทต่อคนในช่วงปี 2561 ก่อนการระบาดของโควิด กลุ่มวัยสร้างครอบครัวอายุ 35-60 ปีเป็นกลุ่มที่มีภาระหนี้สูงที่สุด เนื่องจากมีทั้งภาระบ้าน รถ และค่าใช้จ่ายเพื่อเลี้ยงดูบุตรหรือดูแลพ่อแม่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด ทีทีบีเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมจาก ttb financial health check ที่สำรวจมนุษย์เงินเดือนกว่า 96,000 คนทั่วประเทศ ระหว่างเดือนสิงหาคม 2566 - กุมภาพันธ์ 2568 พบว่า 82% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีภาระหนี้สิน โดยหนี้ส่วนบุคคลและบัตรเครดิตเป็นภาระหลักคิดเป็น 53% รองลงมาคือหนี้รถยนต์ 17% และหนี้บ้าน 15% ที่น่ากังวลคือ 49% ของผู้มีหนี้มีปัญหาการจ่ายขั้นต่ำหรือผิดนัดชำระหนี้ และถึงแม้ในกลุ่มที่ยังชำระได้ 65% ก็เลือกจ่ายเพียงขั้นต่ำ ซึ่งส่งผลให้ดอกเบี้ยสะสมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และทำให้ติดอยู่ใน “วงจรหนี้เรื้อรัง”
ผลสำรวจยังสะท้อนถึงพฤติกรรมที่เรียกว่า “ใช้ก่อนคิดทีหลัง” ของมนุษย์เงินเดือนยุคนี้ โดยเฉพาะกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์หรือไลฟ์สไตล์มากกว่าความมั่นคงทางการเงิน ปรากฏว่ามีสัดส่วนไม่น้อยที่ยอม “ติดแกลม” ซื้อของเกินกำลังเพื่อให้ดูดีในสังคมออนไลน์หรือในที่ทำงาน โดยข้อมูลจากแบบสำรวจพบว่า 29% ของมนุษย์เงินเดือนใช้เงินเกินรายได้ และ 51% มีพฤติกรรมใช้เงินแบบเดือนชนเดือน คือหามาเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น ทำให้ไม่มีเงินออมเหลือเก็บ
ขณะเดียวกัน การออมยังอยู่ในระดับต่ำอย่างน่าตกใจ ข้อมูลจากแบบสำรวจระบุว่า 77% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีเงินออมน้อยกว่า 10% ของรายได้ และ 70% ไม่มีเงินสำรองฉุกเฉินเพียงพอ (น้อยกว่า 6 เดือนของค่าใช้จ่ายประจำ) อีก 80% ไม่มีเงินสำรองหรือประกันคุ้มครองหากเกิดโรคร้ายแรงหรืออุบัติเหตุไม่คาดคิด และอีก 54% กล่าวว่าครอบครัวจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอนหากเกิดเหตุให้พนักงานคนดังกล่าวจากไปอย่างกะทันหัน
สิ่งที่น่าจับตาคือ ปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในกลุ่มรายได้ปานกลางหรือต่ำ เพราะแม้แต่ผู้ที่มีรายได้เกิน 100,000 บาทต่อเดือน ยังมีถึง 32% ที่ใช้ชีวิตเดือนชนเดือน และอีก 16% มีรายจ่ายมากกว่ารายได้ ซึ่งสะท้อนว่าความเปราะบางทางการเงินของคนทำงานได้แผ่ขยายไปทุกระดับ และทำให้การวางแผนอนาคตกลายเป็นเรื่องห่างไกล โดยคนใน Gen X และ Baby Boomer ถึง 57% ในแบบสำรวจยังไม่เริ่มวางแผนเกษียณทั้งที่อยู่ในช่วงวัยเกษียณหรือใกล้เกษียณเรียบร้อยแล้ว
นายนริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่มงาน Data และ Analytics ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า มนุษย์เงินเดือนคือฟันเฟืองหลักของระบบเศรษฐกิจและสังคมไทย โดยปัจจุบันประเทศไทยมีมนุษย์เงินเดือนกว่า 12.5 ล้านคน หรือราว 30% ของแรงงานทั้งหมด และเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้ภาษีบุคคลธรรมดามากถึง 90% หรือกว่า 2.7 แสนล้านบาทต่อปี
อย่างไรก็ตาม วันนี้มนุษย์เงินเดือนผู้เสียภาษีกลับต้องแบกรับความเสี่ยงรอบด้าน ทั้งภาระหนี้ การขาดเงินออม การใช้ชีวิตเดือนชนเดือนแม้มีรายได้สูง รวมถึงความคุ้มครองที่ไม่เพียงพอ โดยผลสำรวจระบุว่า มนุษย์เงินเดือนเกินครึ่งถึง 60% กำลังแบกรับความเสี่ยงทางการเงิน คือมีภาระหนี้สินและไม่มีเงินสำรองฉุกเฉินเพียงพอ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินและการวางแผนอย่างมีระบบคือสิ่งจำเป็นที่สุดในยุคเศรษฐกิจผันผวนเช่นนี้
นายนริศอธิบายว่า สาเหตุหลักของปัญหาหนี้ในกลุ่มมนุษย์เงินเดือนและคนไทยโดยรวม มาจากรายได้ที่เติบโตช้ากว่ารายจ่าย ทำให้หลายคนต้องพึ่งพาการกู้ยืมเพื่อประคองการใช้ชีวิต โดยเฉพาะหนี้สินส่วนบุคคลที่มักเกิดจากความจำเป็นในการใช้จ่าย หรือการนำเงินไปหมุนชำระหนี้ก้อนอื่น สะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างรายได้ที่ไม่สอดคล้องกับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายนริศระบุว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา รายได้ของคนไทยเพิ่มขึ้นเพียงประมาณ 14% แต่สินเชื่อส่วนบุคคลกลับพุ่งสูงถึง 200% ซึ่งเป็นอัตราที่สะท้อนถึงความเปราะบางในระบบเศรษฐกิจและการเงิน เนื่องจากสินเชื่อประเภทนี้มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าสินเชื่อทั่วไป ส่งผลให้ผู้กู้ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยและหนี้สะสมเรื้อรังตั้งแต่วัยทำงานไปจนถึงวัยเกษียณ
ดังนั้น ทีทีบีจึงมองว่า ภาวะเปราะบางทางการเงินในกลุ่มมนุษย์เงินเดือนไม่ได้เป็นเพียงปัญหาปัจเจกบุคคล แต่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม เพราะกลุ่มนี้คือฐานภาษีหลักและผู้บริโภคสำคัญของประเทศ หากขาดเสถียรภาพทางการเงินย่อมกระทบต่อการใช้จ่าย การออม และการลงทุนในภาพรวม ซึ่งอาจฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
นางณัฐวรรณ อภิรัตนพิมลชัย ประธานกลุ่มกลยุทธ์ลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า “ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ชีวิตทางการเงินที่มั่นคงคือรากฐานของคุณภาพชีวิตที่ดี ทีทีบีในฐานะธนาคารที่มุ่งมั่นให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น จึงพร้อมช่วยแบ่งเบาภาระของมนุษย์เงินเดือน ผู้เป็นเดอะแบกตัวจริงการเงินในยุคนี้ ผ่านโซลูชันที่ครอบคลุมครบทุกมิติ”
ทีทีบีได้พัฒนาโซลูชันด้าน “การจัดการหนี้” ผ่านโปรแกรม “ผ่อนดีมีรางวัล” สำหรับลูกค้าที่ชำระหนี้ตรงเวลาจะได้รับสิทธิรีไฟแนนซ์ดอกเบี้ยต่ำกว่าปกติ เพื่อให้ปิดหนี้ได้เร็วขึ้น พร้อมบริการรวมหนี้ด้วยบ้านหรือรถเพื่อลดดอกเบี้ยและค่างวด รวมถึง “สินเชื่อสวัสดิการอเนกประสงค์ทีทีบี” สำหรับพนักงานบัญชีเงินเดือนในบริษัทที่มีการลงนามข้อตกลง (MOU) กับธนาคาร โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และมีอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 7.99% ต่อปี
ในด้านการใช้จ่าย ทีทีบีเสนอทางเลือกบัญชีเงินฝาก ttb all free ที่ฟรีค่าธรรมเนียมทั่วประเทศ และบัตรเดบิต ttb all free Disney ที่ให้สิทธิพิเศษคล้ายบัตรเครดิตแต่จำกัดการใช้จ่ายเกินตัว พร้อมบัญชีเงินฝาก ttb ME save ที่ให้ดอกเบี้ยสูงและโบนัสเพิ่มเมื่อฝากต่อเนื่อง โดยพนักงานบัญชีเงินเดือนทีทีบีจะได้รับดอกเบี้ยพิเศษเพิ่ม 0.2% ต่อปี เพื่อส่งเสริมการออมและสร้างเงินสำรองฉุกเฉิน
ในด้านความคุ้มครอง ทีทีบีมอบประกันอุบัติเหตุจากบัญชีเงินฝาก ttb all free ซึ่งให้ความคุ้มครองชีวิตสูงสุด 3 ล้านบาท และค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ 3,000 บาทต่อครั้งโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพ “ทีทีบี เหมา เหมา อัลตร้า แคร์” ที่ใช้สิทธิสวัสดิการของบริษัทจ่ายค่ารักษาพยาบาลส่วนแรกเพื่อลดค่าเบี้ยและเพิ่มความคุ้มครองในระยะยาว
นอกจากนี้ ธนาคารยังมีแคมเปญ “ลดหย่อนภาษี 2568” ที่รวมกองทุนคุณภาพและประกันชีวิตเพื่อการลดหย่อนภาษีตามเกณฑ์กรมสรรพากร เพื่อช่วยให้มนุษย์เงินเดือนสามารถวางแผนการเงินระยะยาวได้อย่างคุ้มค่า พร้อมเสริมความรู้ทางการเงินผ่านแพลตฟอร์ม fintips, คอร์สการเงินออนไลน์, “โค้ชปลดหนี้” และสัมมนาให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มนุษย์เงินเดือนรู้เท่าทันสถานะทางการเงินของตนเอง และสร้างวินัยทางการเงินอย่างยั่งยืน
“ทีทีบีเชื่อว่าความมั่นคงทางการเงินไม่ใช่เรื่องของรายได้เพียงอย่างเดียว แต่คือการมีเครื่องมือและภูมิคุ้มกันทางการเงินที่รอบด้าน ธนาคารจึงสร้างสรรค์และพัฒนาโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์ ครบทุกมิติการเงิน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระ พร้อมให้มนุษย์เงินเดือนก้าวข้ามข้อจำกัด และมีชีวิตการเงินที่ดีขึ้น พร้อมยืนหยัดได้อย่างมั่นคง” นางณัฐวรรณกล่าวปิดท้าย