Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เวิลด์แบงก์เตือนเอเชียตะวันออก ตลาดแรงงานเจอศึกหลายด้าน ต้องปฏิรูป
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

เวิลด์แบงก์เตือนเอเชียตะวันออก ตลาดแรงงานเจอศึกหลายด้าน ต้องปฏิรูป

7 ต.ค. 68
16:58 น.
แชร์

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (East Asia Pacific: EAP) เคยมีเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา โดยภาคส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือการผลิตสินค้าส่งออกซึ่งใช้แรงงานอย่างเข้มข้น ผลดีจากโครงสร้างเศรษฐกิจแบบที่ว่านี้คือมีคนจำนวนกว่าพันล้านคนที่ได้ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ พ้นจากความยากจน 

แต่ในปัจจุบันนี้ ความท้าทายและความเปลี่ยนแปลงหลายด้านกำลังส่งผลกระทบและเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานในภูมิภาคนี้ คนที่มีงานทำอาจพบว่างานของตนเองกำลังหายไป ขณะเดียวกันก็มีเกิดงานใหม่ขึ้นมา ซึ่งเรียกร้องให้คนทำงานต้องมีทักษะใหม่ 

ในวันที่ 7 ตุลาคม 2025 ธนาคารโลก (World Bank) เผยแพร่รายงานอัพเดตเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (East Asia and Pacific Economic Update) ประจำเดือนตุลาคม 2025 โดยเน้นบทบาทของ ‘การจ้างงาน’

รายงานฉบับนี้ของธนาคารโลกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้จะเติบโต 4.8% ในปี 2025 ลดลงจาก 5.0% ในปี 2024 เวียดนามจะเป็นผู้นำการเติบโตด้วยอัตราการเติบโต 6.6% ตามด้วยมองโกเลีย (5.9%) ฟิลิปปินส์ (5.3%) ขณะที่จีน กัมพูชา และอินโดนีเซียคาดว่าจะเติบโตที่ 4.8% เท่ากัน ประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิกคาดว่าจะเติบโต 2.7% และประเทศไทยคาดว่าจะโต 2.0%

สำหรับปี 2026 ธนาคารโลกคาดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้จะชะลอลงสู่ 4.3% ซึ่งปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเติบโต ได้แก่ มาตรการจำกัดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนในระดับโลกที่แม้จะลดลงแต่ยังคงอยู่ในระดับสูง การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และนโยบายภายในประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ยังคงพึ่งพามาตรการกระตุ้นทางการคลังมากกว่าการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง

สถานการณ์การจ้างงานใน EAP 

รายงานระบุว่า อัตราการจ้างงานทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกอยู่ในระดับสูง คนส่วนใหญ่ที่หางานทำนั้นสามารถหางานได้ แต่คนหนุ่มสาว หรือคนเรียนจบใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์การทำงานกลับประสบปัญหาในการหางาน โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวในจีนและอินโดนีเซียที่เป็นคนไม่มีงานทำสัดส่วน 1 ใน 7 คน

ปัญหาที่รายงานระบุคือ ประเทศต่างๆ ในภูมิภาค EAP ยังไม่ตระหนักอย่างเต็มที่ถึงประโยชน์ของการเคลื่อนย้ายแรงงานจากภาคส่วนที่มีผลิตภาพต่ำไปสู่ภาคส่วนที่มีผลิตภาพสูงกว่า อีกทั้งยังมีการเคลื่อนย้ายในทิศทางตรงข้าม

โดยรายงานชี้ให้เห็นภาพว่า ตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ถึง 1990 แรงงานย้ายจากภาคเกษตรกรรมไปสู่ภาคการผลิตและบริการที่มีผลิตภาพสูงกว่า ซึ่งขับเคลื่อนโดยการผลิตเพื่อการส่งออก แต่นับตั้งแต่ทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา การเคลื่อนย้ายแรงงานส่วนใหญ่มุ่งไปสู่งานที่มีผลิตภาพต่ำ ซึ่งมักเป็นงานบริการนอกระบบในธุรกิจค้าปลีกและก่อสร้าง 

การพัฒนาแบบเดิมไม่พอสร้างงานที่ดี ต้องปฏิรูป 

รายงานระบุว่า รูปแบบการพัฒนาแบบทั่วถึงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกที่เคยประสบความสำเร็จในอดีตกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ การเติบโตของการจ้างงานในช่วงที่ผ่านมาเกิดขึ้นในภาคบริการที่มีผลิตภาพต่ำและอยู่นอกระบบ ซึ่งมักมีโอกาสเติบโตในอาชีพจำกัด 

แม้ว่าประชาชนกว่า 25 ล้านคนจะหลุดพ้นจากความยากจนในระหว่างปี 2025-2026 แต่ในหลายประเทศของภูมิภาคนี้ สัดส่วนของประชากรที่ยังคงมีความเปราะบางและเสี่ยงเข้าเขตภาวะยากจนมีจำนวนมากกว่ากลุ่มชนชั้นกลาง

คาร์ลอส เฟลิเป้ ฮารามิโย (Carlos Felipe Jaramillo) รองประธานธนาคารโลก ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวในรายงานว่า ภูมิภาคนี้กำลังเผชิญกับภาวะความขัดแย้งของการจ้างงาน – คือมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งพอสมควร แต่กลับมีการสร้างงานที่มีคุณภาพไม่เพียงพอ

“การปฏิรูปที่กล้าหาญยิ่งขึ้น เพื่อขจัดอุปสรรคต่อการเข้าสู่ตลาดและการแข่งขันของภาคธุรกิจ จะช่วยเปิดทางให้กับเงินทุนภาคเอกชน และเอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจที่มีศักยภาพและผลิตภาพสูง อันจะนำไปสู่การสร้างโอกาสการจ้างงานใหม่ๆ” รองประธานธนาคารโลก ประจำภูมิภาค EAP กล่าว

รายงานฉบับนี้เรียกร้องให้มีการปฏิรูปและการลงทุนในทุนมนุษย์และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยมีคำแนะนำเชิงนโยบายว่า ประเทศในภูมิภาค EAP ต้องการปฏิรูปเพื่อสร้างงานที่มีผลิตภาพสูง (productive jobs) มากขึ้น โดย (1) เสริมสร้างศักยภาพของมนุษย์ ปรับปรุงการดูแลสุขภาพ การศึกษา และการฝึกอบรม เสริมสร้างทักษะให้ผู้คนในการทำงานกับเทคโนโลยีใหม่ๆ (2) เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ตั้งแต่การขนส่งและพลังงานไปจนถึงดิจิทัล และการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าสู่ตลาดของบริษัทใหม่และปลดล็อกเงินทุนภาคเอกชน และ (3) เพิ่มการประสานงานเพื่อให้มั่นใจว่าการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์และโอกาสทางเศรษฐกิจจะดำเนินไปอย่างราบรื่น 

ชี้ปฏิรูปเศรษฐกิจควบคู่พัฒนาทุนมนุษย์

อาดิตยา แมตทู (Aaditya Mattoo) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารโลก ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก บรรยายในการแถลงข่าวเปิดตัวรายงานว่า การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยแรงงานและการส่งออกของเอเชียตะวันออกช่วยยกระดับผู้คนนับพันล้านคนให้หลุดพ้นจากความยากจนในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา แต่ภูมิภาคนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายคู่ ได้แก่ มาตรการกีดกันทางการค้า (trade protection) และการแทนที่แรงงานด้วยระบบอัตโนมัติ (job automation) 

อาดิตยาบอกว่า ทุกประเทศในภูมิภาค EAP จำเป็นต้องมีงานที่ผลิตภาพสูง (productive jobs) เพราะประสิทธิภาพการผลิตที่สูงขึ้นหมายถึงค่าจ้างที่สูงขึ้น และหมายถึงงานที่มีคุณภาพดีกว่า แต่สำหรับประเทศในแปซิฟิกและสำหรับคนหนุ่มสาว การสร้างงานให้มีจำนวนงานมากขึ้นก็จำเป็นเช่นกัน แม้ว่าจะยังไม่ใช่งานประสิทธิภาพสูงก็ตาม เพราะว่าในหลายประเทศยังมีคนประสบปัญหาการหางานกันอยู่เป็นจำนวนมาก 

ในประเด็นนี้ อาดิตยาบอกย้ำว่า งานที่ผลิตภาพสูงนั้นจะไม่เกิดขึ้นจากการพึ่งพาการค้าเสรีที่ผลิตและส่งออกสินค้าแบบเดิมๆ หรือการพึ่งพาการกระตุ้นเศรษฐกิจมหภาค แต่ต้องมาจากการปฏิรูปเพื่อเพิ่มทั้งโอกาสทางเศรษฐกิจและศักยภาพของมนุษย์ และเขาบอกด้วยว่า หลายๆ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะต้องพัฒนาคนของตนเอง ตั้งแต่การศึกษาขั้นพื้นฐาน

“การปฏิรูประบบธุรกิจ และการพัฒนาการศึกษา จะสามารถสร้างวัฏจักรที่มีศีลธรรมระหว่าง ‘โอกาส’ และ ‘ศักยภาพ’ นำไปสู่การเติบโตที่สูงขึ้นและงานที่ดีกว่า”

ใช้เทคโนโลยี-AI-หุ่นยนต์ โดยไม่ทิ้ง ‘คน’ ไว้ข้างหลัง 

อีกเรื่องสำคัญที่อาดิตยากล่าวว่าเป็นความท้าทายตลาดแรงงาน คือ การนำระบบอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ ซึ่งให้ผลกระทบในแง่บวก คือ ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ใน ASEAN-5 มีสร้างงานทักษะสูงมากกว่า 2 ล้านตำแหน่ง ซึ่งผลักดันให้จำนวนแรงงานทักษะสูงเพิ่มขึ้น 

แต่ในอีกทางหนึ่งก็ส่งผลให้แรงงานทักษะต่ำประมาณ 1.5 ล้านคนต้องตกงาน ซึ่งหลายคนได้ไปสู่การทำงานเป็นแรงงานนอกระบบ ดังนั้น จึงต้องมีกลไกคุ้มครองทางสังคมที่ดีสำหรับแรงงานนอกระบบ และต้องมีระบบโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่ดี เพื่อให้คนสามารถหางานเพิ่มพูนทักษะของตนเองได้ 

อาดิตยาแนะว่า การนำเทคโนโลยีมาใช้ จะต้องใช้เทคโนโลยีในแบบที่พัฒนาคนไปด้วย ต้องมาควบคู่กับการสร้างความมั่นใจว่าคนงานมีทักษะสามารถทำงานกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ แทนที่จะรู้สึกเสี่ยงที่จะถูกเทคโนโลยีแย่งงาน 

เขาชี้ตัวอย่างว่าประเทศจีนเป็นประเทศที่นำเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาคนได้ดี ขณะที่อินเดียเป็นตัวอย่างตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง และคนที่อยู่ในตลาดงานของอินเดียก็ถูกพัฒนาให้มีศักยภาพแข็งแกร่งมากๆ 

ส่วนคำถามว่างานแบบไหนจะถูกแทนที่ และจะถูกแทนที่มากแค่ไหนนั้น อาดิตยาชี้ว่าปัจจัยกำหนดความเสี่ยง คือ ขึ้นอยู่กับว่า เอไอโรบอต (หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์) มีประสิทธิภาพสูงแค่ไหน สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้มากน้อยแค่ไหน และต้นทุนฝั่งไหนถูกกว่ากัน อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะถูกแทนที่ด้วยโรบอต แต่คนทำงานก็จำเป็นต้องมีทักษะมากขึ้น ต้องเพิ่มพูนทักษะของแรงงานให้สามารถใช้งานเทคโนโลยีได้ ต้องมีการวางรากฐานการศึกษา และส่งเสริมการศึกษาด้าน STEM มากขึ้น 

นอกจากนั้น เนื่องจากในหลายประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ และไทย มีคนทำงานรูปแบบการทำงานนอกระบบมากขึ้น อย่างเช่น ไรเดอร์ของแพลตฟอร์มต่างๆ หรือในภาคการเกษตร ดังนั้น อาดิตยาจึงแนะว่า ต้องมีกลไกคุ้มครองทางสังคมที่ดีสำหรับแรงงานนอกระบบ และต้องมีกฎระเบียบมีการควบคุมจัดการที่ดี เพราะถ้าไม่มี จะทำให้แรงงานไม่สามารถเข้าถึงสิทธิต่างๆ ได้

เลิกกังวลเรื่องเลือกข้าง หันมากำหนดอนาคตเอง 

ในการแถลงข่าว มีคำถามจากสื่อมวลชนถึงผลกระทบจากภาษีศุลกากรของสหรัฐต่อเศรษฐกิจของหลายประเทศในอาเซียน เช่น กัมพูชา และเวียดนาม

อาดิตยากล่าวว่า กัมพูชาพึ่งพาการทำการค้ากับสหรัฐอเมริกา ในปีนี้สินค้าจำนวนมากถูกเร่งส่งออกล่วงหน้าก่อนที่ภาษีจะมีผลบังคับใช้ แต่ในปีหน้าการเติบโตของเศรษฐกิจกัมพูชาจะยากขึ้น เพราะดีมานด์ที่อ่อนแอลง และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นคู่ค้าหลักของกัมพูชาอาจช้ากว่าที่คาดไว้ ดังนั้น การลงทุนของจีนในกัมพูชาอาจน้อยลง 

ขณะเดียวกัน ความตึงเครียดกับประเทศไทยทำให้กัมพูชามีเงินส่งกลับประเทศน้อยลง และปัญหาที่เกี่ยวภูมิรัฐศาสตร์ยังเป็นความท้าทาย เพราะกัมพูชาส่งออกเสื้อผ้าไปสหรัฐสัดส่วนสูงมาก

สำหรับเวียดนาม อาดิตยามองคล้ายกันกับกัมพูชา คือ เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับประโยชน์หลักจากกลยุทธ์ China Plus One ซึ่งหมายถึงในช่วงเวลาที่จีนต้องเผชิญกับอัตราภาษีศุลกากรที่สูงและมีความตึงเครียดกับสหรัฐ และประเทศอื่นๆ สามารถก้าวเข้ามาแทนที่จีนในฐานะฐานการผลิตได้ อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ของธนาคารโลกแสดงให้เห็นว่า การวิเคราะห์ประโยชน์ทางเศรษฐกิจของ China Plus One อาจสูงเกินจริง เพราะมูลค่าผลผลิตที่เพิ่มขึ้นในเวียดนามไม่ได้สูงขนาดที่วิเคราะห์กัน

“นั่นคือเหตุผลที่ผมคิดว่า เวียดนามจำเป็นต้องมีการปฏิรูปที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น”

“ผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญมากยิ่งขึ้นที่แต่ละประเทศจะต้องดำเนินการปฏิรูปภายในประเทศ แทนที่จะกังวลกับการเลือกข้างระหว่างสองมหาอำนาจที่ขัดแย้งกัน แต่ละประเทศจำเป็นต้องกำหนดชะตากรรมของตนเอง ด้วยการปฏิรูปเศรษฐกิจ และมุ่งสู่การบูรณาการทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับประเทศอื่นๆ ผมคิดว่านั่นคือกลยุทธ์ที่จะนำไปสู่การพัฒนาที่สูงขึ้น” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารโลก ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกกล่าว 

แชร์
เวิลด์แบงก์เตือนเอเชียตะวันออก ตลาดแรงงานเจอศึกหลายด้าน ต้องปฏิรูป