สงครามภาษีที่จุดชนวนโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเร่งให้จีนเปลี่ยนทิศทางเศรษฐกิจไปสู่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาหรือ “Global South” เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และอาจนำไปสู่การเกิด “ระเบียบการค้าโลกใหม่” ที่บรรษัทจีนขึ้นแท่นผู้เล่นหลักในภูมิภาคเหล่านี้ รายงานล่าสุดของ S&P Global ระบุว่า แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนทั้งการเปลี่ยนโครงสร้างการค้าโลกและยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจใหม่ของจีน
นักวิเคราะห์ของ S&P ระบุเมื่อวันอังคารว่า การส่งออกของจีนไปยังกลุ่มประเทศ Global South ซึ่งครอบคลุมเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา เอเชียกลาง ยุโรปตะวันออก และลาตินอเมริกา ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่านับตั้งแต่ปี 2015 โดยเร่งตัวขึ้นชัดเจนหลังสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนในสมัยทรัมป์ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเพียงอย่างเดียว การส่งออกดังกล่าวขยายตัว 65% หรือเร็วกว่าช่วง 5 ปีก่อนหน้าถึงสามเท่า ขณะที่การส่งออกไปสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตกในรอบทศวรรษเติบโตเพียง 28% และ 58% ตามลำดับ
S&P ยังระบุว่า ปัจจุบัน จีนส่งออกไปยัง Global South มูลค่าประมาณ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และยุโรปตะวันอกรวมกันกว่า 50% ซึ่งมีมูลค่ารวมเพียง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ การค้าของจีนกับ 20 ประเทศคู่ค้าใหญ่ใน Global South ยังมีมูลค่าถึงราว 20% ของ GDP ของประเทศเหล่านั้น และกว่าครึ่งของดุลการค้าส่วนเกินของจีนก็มาจากภูมิภาคนี้ เทียบกับ 36% จากสหรัฐฯ และ 23% จากยุโรปตะวันตก
ทั้งนี้ แรงกดดันจากภาษีศุลกากรเกิดขึ้นพร้อมกับสัญญาณชะลอตัวในประเทศ ข้อมูลล่าสุดระบุว่าการผลิตจีนเติบโตต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ขณะที่การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานลดลง การส่งออกไปสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่สี่ แต่การส่งออกไปยังแอฟริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับเติบโตขึ้นมาทดแทน
นอกจากการค้าขายแล้ว บริษัทจีนยังเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน Global South โดยเฉพาะภาคการผลิต การลงทุนไปยัง 4 ประเทศคู่ค้าหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าในรอบทศวรรษ คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ย 8.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยอินโดนีเซียถูกยกให้เป็นตัวอย่างชัดเจนของการที่จีนสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมายพัฒนาของประเทศเจ้าบ้าน โดยเม็ดเงินลงทุนจากจีนช่วยเร่งการพัฒนาอุตสาหกรรมนิกเกิล และต่อยอดเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้าในระดับโลก
ด้านตลาดผู้บริโภค ผู้ผลิตรถยนต์จีนก็เร่งรุกเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างแข็งขัน ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 13 เท่าในมาเลเซีย เพิ่มเท่าตัวในไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ และขยายตัวกว่า 50% ในอินเดียและเวียดนามตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์นี้สะท้อนว่าจีนไม่ได้มุ่งเพียง “เลี่ยงภาษีสหรัฐฯ” แต่ยังสร้างฐานตลาดปลายทางระยะยาวที่มีศักยภาพเติบโตสูงกว่าในประเทศตนเอง
การขยายตัวของจีนใน Global South ยังครอบคลุมอุตสาหกรรมหลากหลาย ทั้งวิศวกรรม การก่อสร้าง เครื่องจักร อุปกรณ์ สินค้าอุปโภคบริโภค และบริการ จีนยังขยายความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ ด้วยการลดอุปสรรคทางการค้าและลงนามข้อตกลงใหม่ ๆ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงถึงขั้นประกาศเมื่อเดือนมิถุนายนว่าจะยกเลิกภาษีนำเข้ากับเกือบทุกประเทศในแอฟริกา พร้อมทั้งเข้าร่วมประชุมสุดยอดและพบปะกับผู้นำจากลาตินอเมริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อยกระดับบทบาททางการค้าและการทูตในภูมิภาค
แม้การค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีนยังคง “มีความสำคัญอย่างยิ่ง” แต่รายงานของ S&P ระบุว่า ยุคภาษีศุลกากรจะทำให้การลงทุนของจีนในภูมิภาคกำลังพัฒนาเดินหน้าต่อไป ไม่เพียงเพื่อเลี่ยงภาษีใหม่หรือเข้าถึงทรัพยากร แต่ยังเพื่อสร้างตลาดปลายทางใหม่และลดการพึ่งพาการขายในสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม การรุกของจีนยังเผชิญความเสี่ยง ทั้งการทำธุรกิจกับพันธมิตรที่ไม่คุ้นเคย ระบบกฎหมายและโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่พัฒนา รวมถึงแรงต่อต้านจากท้องถิ่นที่กังวลต่อสินค้าราคาถูกจากจีนซึ่งอาจกดดันผู้ผลิตในประเทศ ปัญหาเหล่านี้อาจนำไปสู่การตรวจสอบเข้มงวดขึ้นจากหน่วยงานกำกับดูแล และการถูกเก็บภาษีตอบโต้หรือลงโทษทางการค้า
ถึงกระนั้น S&P Global มองว่าแนวโน้มดังกล่าวจะยังคงดำเนินต่อไป โดยนักวิเคราะห์ย้ำว่า “ความไม่แน่นอนจากภาษีสหรัฐฯ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน จะยังคงผลักดันให้บริษัทจีนเดินหน้าบุกตลาด Global South” และผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นคือ “การค้าระหว่างประเทศกำลังพัฒนาจะกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของระบบการค้าโลก โดยมีบรรษัทข้ามชาติของจีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นหลัก”