การส่งออกสินค้าจากจีนไปยังสหรัฐฯ อาจลดลงมากถึง 485,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 15.7 ล้านล้านบาท ภายในปี 2027 ตามการประเมินของแบบจำลองภาษี (Tariff Simulator) ซึ่งวิเคราะห์ผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
การวิเคราะห์นี้อิงจากอัตราภาษีที่ทั้งสองประเทศบังคับใช้ในปัจจุบัน ซึ่งสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีเฉลี่ยจากสินค้าจีนที่ระดับสูงถึง 51% ขณะที่จีนเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ ที่ 32.6% และมีความเป็นไปได้ที่อัตราภาษีจะพุ่งสูงถึง 145% หากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ภายในวันที่ 12 สิงหาคม ตามคำขู่ของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ บทวิเคราะห์ยังระบุว่า ประเทศที่พึ่งพาอุตสาหกรรมการผลิตของจีนก็จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เช่นกัน ตัวอย่างเช่น เวียดนาม ซึ่งเคยได้รับประโยชน์จากยุทธศาสตร์ “China Plus One” ที่ช่วยหลีกเลี่ยงภาษีจากสินค้าจีนบางประเภท คาดว่าจะสูญเสียมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ถึง 1.02 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2027 ขณะที่เกาหลีใต้คาดว่าจะสูญเสียมูลค่าส่งออกประมาณ 4.9 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกัน
ในแง่ของกลุ่มสินค้า แบบจำลองคาดว่า สินค้าจีนประเภทอุปกรณ์ออกอากาศจะลดลงถึง 5.92 หมื่นล้านดอลลาร์ คอมพิวเตอร์ลดลง 5.87 หมื่นล้านดอลลาร์ และรถยนต์จากเกาหลีใต้ลดลงราว 1.35 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึงผลกระทบที่เป็นรูปธรรมต่อภาคอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับตลาดสหรัฐฯ โดยตรง
แม้สหรัฐฯ จะยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับแคนาดา และยังคงข่มขู่จะเพิ่มภาษีกับประเทศคู่ค้าในอเมริกาเหนือ แบบจำลองภาษีระบุว่า การนำเข้าสินค้าจากแคนาดากลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึง 1.28 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่เม็กซิโกจะเพิ่มขึ้น 7.7 หมื่นล้านดอลลาร์ และสหราชอาณาจักรอีก 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ภายหลังการลงนามข้อตกลงการค้าฉบับใหม่กับสหรัฐฯ
ถึงแม้ภาษีสินค้าจีนที่ยังอยู่ในระดับสูง และข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรปซึ่งเพิ่งประกาศเมื่อวันอาทิตย์ จะช่วยผลักดันการส่งออกของสหรัฐฯ ให้ขยายตัวขึ้น 12% ภายในปี 2027 แต่สัญญาณการลดลงของการนำเข้าสินค้าจากจีนเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างชัดเจน
ข้อมูลการขนส่งทางเรือสะท้อนให้เห็นว่า ปริมาณการส่งออกสินค้าจากจีนมายังสหรัฐฯ ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงสงครามการค้า โดยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เมื่อสหรัฐฯ ปรับลดอัตราภาษีจากระดับที่เคยขู่ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 145% ลงมาเหลือ 51% ผู้ค้าปลีกและผู้ผลิตบางรายเร่งสั่งนำเข้าสินค้าล่วงหน้า ส่งผลให้ปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ที่ท่าเรือลอสแอนเจลิสเพิ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม แต่เป็นเพียงผลกระทบระยะสั้น
รายงานประจำสัปดาห์จากกัปตัน เจ. คิปลิง ลูทิตต์ ผู้อำนวยการ Marine Exchange of Southern California & Vessel Traffic Service ระบุว่า จำนวนเรือเฉลี่ยที่เข้าเทียบท่าในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 66.8 ลำต่อวัน แต่ในช่วงครึ่งหลังของเดือนลดลงเหลือเพียง 58.7 ลำต่อวัน และบางวันเหลือเพียง 55 ลำ ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการชะลอตัวของปริมาณการขนส่งที่จะชัดเจนมากขึ้นในช่วงสัปดาห์ถัดไป
นอกจากนี้ กลุ่มผู้ค้าปลีกยังออกโรงเตือนมาอย่างต่อเนื่องว่า วัฏจักรของการขู่ปรับขึ้นภาษีและการเลื่อนการบังคับใช้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในห่วงโซ่อุปทาน และส่งผลให้ผู้ประกอบการลังเลในการวางแผนสั่งซื้อสินค้าในอนาคต
ในอีกด้านหนึ่ง จีนก็เตรียมตอบโต้ด้วยการลดการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลงเช่นกัน โดยแบบจำลองคาดว่าจะลดลงถึง 1.01 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2027 กลุ่มสินค้าที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ได้แก่ ถั่วเหลือง ลดลง 1 หมื่นล้านดอลลาร์, วงจรรวม 7.44 พันล้านดอลลาร์, น้ำมันดิบ 7.33 พันล้านดอลลาร์, ก๊าซปิโตรเลียม 6.36 พันล้านดอลลาร์ และรถยนต์อีก 5.09 พันล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ในขณะที่ข้อพิพาททางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ยังคงดำเนินต่อไป จีนได้เร่งกระชับความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศในอาเซียนและกลุ่มประเทศนอกตะวันตก โดยแบบจำลองคาดว่า รัสเซียจะเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการขยายการค้ากับจีน คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้น 6.98 หมื่นล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยเวียดนาม 3.44 หมื่นล้านดอลลาร์, ซาอุดีอาระเบีย 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์, เกาหลีใต้ 2.79 หมื่นล้านดอลลาร์, ออสเตรเลีย 2.46 หมื่นล้านดอลลาร์ และญี่ปุ่น 2.14 หมื่นล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ มาตรการภาษีของรัฐบาลทรัมป์อาจส่งผลกระทบย้อนกลับต่อบริษัทอเมริกันเอง โดยข้อมูลจาก Bills of Lading ซึ่งเป็นเอกสารระบุรายละเอียดการนำเข้า-ส่งออก แสดงให้เห็นว่า Ikea เป็นผู้นำเข้าสินค้าจากจีนเข้าสหรัฐฯ มากที่สุด คิดเป็น 14.6% ของการนำเข้าทั้งหมด รองลงมาคือ Walmart (8.6%), Costco (5.8%), Dole Fresh Fruit (5.52%) และ Amazon (3.83%)
ในด้านสินค้า Ikea มุ่งนำเข้าเฟอร์นิเจอร์เป็นหลัก (18.2%) ส่วน Walmart มุ่งนำเข้าเส้นใยฝ้ายสังเคราะห์ (64%) ซึ่งสะท้อนความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานที่พึ่งพาจีนอย่างมาก
เมื่อมองในระดับรัฐ เท็กซัส และ แคลิฟอร์เนีย มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการค้ากับจีนมากที่สุด
แนวโน้มดังกล่าวตอกย้ำถึงแรงสั่นสะเทือนของสงครามการค้าซึ่งไม่เพียงกระทบจีน แต่ยังย้อนกลับมายังภาคธุรกิจและรัฐสำคัญของสหรัฐฯ เองอย่างมีนัยสำคัญ