Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เทียบอินโดฯดีลไทยไม่ชัดเรื่องภาษีสหรัฐฯ-สินค้าสวมรอย เสี่ยงแพ้เพื่อน
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

เทียบอินโดฯดีลไทยไม่ชัดเรื่องภาษีสหรัฐฯ-สินค้าสวมรอย เสี่ยงแพ้เพื่อน

16 ก.ค. 68
13:23 น.
แชร์

การแข่งขันเพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ทางการค้ากับสหรัฐฯ กำลังเข้มข้นขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่ออินโดนีเซียกลายเป็นประเทศล่าสุดที่บรรลุข้อตกลงลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ จาก 32% เหลือเพียง 19% แลกกับการสั่งซื้อพลังงาน สินค้าเกษตร และเครื่องบิน Boeing รวมมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เข้าถึงได้อย่างเสรี นี่ไม่ใช่ดีลธรรมดา แต่คือสัญญาณชัดว่า “การเจรจาเชิงแลกเปลี่ยน” กำลังกลายเป็นเงื่อนไขใหม่ในการรักษาความสามารถในการแข่งขันของแต่ละประเทศในยุคสงครามภาษี

ในขณะเดียวกัน ไทยเองก็กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาขั้นตอนสุดท้ายกับสหรัฐฯ โดยได้ยื่นข้อเสนอรอบใหม่ที่เน้นการสั่งซื้อ LNG, เครื่องบิน Boeing และสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ รวมถึงตั้งเป้าลดดุลการค้าเกินดุลภายใน 7-8 ปี อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลว่าข้อเสนอของไทยอาจไม่เพียงพอในมุมของการเปิดตลาดและกลไกภาษี Transshipment ที่ยังไม่มีความชัดเจน

แรงกดดันเพิ่มขึ้นต่อไทยอย่างชัดเจนเมื่อพิจารณาจาก “ช่องว่างภาษี” (Tariff Gap) ที่ขยายตัวออกไปเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อัตราภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ของไทยยังอยู่ที่ 36% ซึ่งสูงกว่าของเวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย หากไม่สามารถขยับทันเวลา ผลกระทบอาจลามจากการค้าไปสู่การลงทุนในห่วงโซ่อุปทานระยะยาว

อินโดนีเซียคว้าดีล 19% แลกเปิดตลาด ซื้อสินค้าสหรัฐฯ เพิ่ม

สหรัฐอเมริกาและอินโดนีเซียได้บรรลุข้อตกลงทางการค้าฉบับใหม่ โดยมีสาระสำคัญคือการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากฝั่งสหรัฐฯ จากเดิม 32% เหลือเพียง 19% ภายในกรอบเวลาที่ตกลงร่วมกัน ข้อตกลงนี้มีลักษณะคล้ายกับที่สหรัฐฯ ลงนามกับเวียดนามก่อนหน้านี้ โดยมุ่งเน้นการลดความไม่สมดุลทางการค้า และส่งเสริมการเปิดตลาดระหว่างกันในระยะยาว

สาระสำคัญของข้อตกลงระบุว่า อินโดนีเซียจะดำเนินการสั่งซื้อสินค้าจากฝั่งสหรัฐฯ มูลค่ารวมหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ประกอบด้วย พลังงาน มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์ สินค้าเกษตร มูลค่า 4,500 ล้านดอลลาร์ เครื่องบิน Boeing จำนวน 50 ลำ

นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังยินยอมเปิดตลาดให้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ แทบทุกประเภท โดยลดหรือยกเลิกภาษีนำเข้าในหลายหมวดสินค้า พร้อมยอมรับการจัดเก็บภาษีสำหรับสินค้า Transshipment ตามมูลค่าเพิ่ม (value-added-based tariff)

ข้อมูลการค้าระหว่างสองประเทศ ณ ปี 2024 ระบุว่า อินโดนีเซียมีดุลการค้าเกินดุลต่อสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 15,000-18,000 ล้านดอลลาร์ โดยสินค้าหลักที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้แก่ น้ำมันปาล์ม เฟอร์นิเจอร์ ยางพารา และสิ่งทอ

ไทยเร่งเจรจาขั้นตอนสุดท้าย ยื่นข้อเสนอรอบใหม่ ตั้งเป้าลดเกินดุลการค้าให้ได้ภายใน 7 ปี

ด้านประเทศไทย ความคืบหน้าในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ได้ยื่นข้อเสนอรอบที่สองต่อคณะผู้แทนการค้าสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายหลักในการลดดุลการค้าเกินดุลลงให้ได้ 70% ภายใน 5 ปี และเข้าสู่สมดุลทางการค้าภายใน 7-8 ปี จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ในกรอบ 10 ปี โดยข้อเสนอของไทยประกอบด้วย

  • การสั่งซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ ปริมาณ 2 ล้านตัน ภายใต้สัญญาระยะยาว 20 ปี
  • การนำเข้า Ethane เพื่อใช้ในภาคปิโตรเคมี
  • การสั่งซื้อเครื่องบิน Boeing จำนวน 80 ลำ
  • การเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับข้อเสนอของอินโดนีเซีย พบว่าไทยมีข้อเสนอที่ใกล้เคียงกันในแง่ของมูลค่าการซื้อสินค้า อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนในอีก 2 ประเด็นที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญ ได้แก่ การเปิดตลาดเพื่อลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ อย่างครอบคลุม และการยอมรับระบบภาษีสำหรับสินค้า Transshipment

ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นก่อนเส้นตาย 1 ส.ค. ไทยเผชิญแรงกดดันจาก Tariff Gap ในภูมิภาค

แหล่งข่าวในวงการเจรจาการค้าเปิดเผยว่า ช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม ความเสี่ยงของไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากช่องว่างของอัตราภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ (Tariff Gap) ระหว่างไทยกับประเทศอื่นในภูมิภาคเริ่มขยายออกอย่างชัดเจน โดยไทยยังคงใช้อัตราภาษีที่ 36% ซึ่งสูงกว่าคู่แข่งสำคัญในอาเซียน ได้แก่ 

  • เวียดนาม: 20%
  • อินโดนีเซีย: 19%
  • ฟิลิปปินส์: 20%
  • มาเลเซีย: 25%

นักวิเคราะห์เตือนว่า หากไทยไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ทันเวลา ความสามารถในการแข่งขันด้านการค้า การส่งออก และการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบระยะยาว

ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ช่วงพักฐาน แนะลงทุนกลุ่มสื่อสาร-ปิโตรฯ

ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย (KS) ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทย (SET Index) มีแนวโน้มเข้าสู่โซนพักฐานระยะสั้นในกรอบ 1,175 จุด บวกลบ โดยแนะนำให้นักลงทุนปรับพอร์ตไปสู่กลุ่มหุ้นที่ underperform ในช่วงที่ผ่านมา และหลีกเลี่ยงกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในครึ่งปีหลัง โดยกลุ่มที่แนะนำ ได้แก่ 

  • กลุ่มสื่อสาร (Telco): TRUE, ADVANC

ปัจจัยบวกคือความชัดเจนหลังการประมูลคลื่นเมื่อ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งช่วยลดความไม่แน่นอนของอุตสาหกรรม และคาดว่าจะไม่มีการประมูลใหม่จนถึงปลายปี 2027 ประกอบกับการแข่งขันที่ลดลงในตลาดลักษณะ duopoly ทำให้ผลประกอบการมีเสถียรภาพ

TRUE ยังมีโอกาสได้อานิสงส์จากการควบรวมกิจการผ่านการลดต้นทุนจาก network synergy โดยเฉพาะการปรับปรุงระบบโครงข่ายที่จะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/2568

  • กลุ่มปิโตรเคมี: PTTGC, SCC

Spread สินค้าโอเลฟินส์เริ่มฟื้นตัวจากต้นทุน Naphtha ที่ลดลงตามราคาน้ำมันดิบในช่วงต้นไตรมาส 2/2568 ขณะเดียวกัน การกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนในครึ่งปีหลังเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย GDP ที่ 5% จะเป็นแรงหนุนต่อความต้องการสินค้าปิโตรเคมี และอาจผลักดัน spread ให้ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ควรระวังคือ กลุ่มธนาคาร เนื่องจากมีความเสี่ยงจากการตั้งสำรองหนี้เสียของลูกค้ากลุ่มส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 อันเป็นผลจากแรงกดดันทางการค้าและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก


แชร์
เทียบอินโดฯดีลไทยไม่ชัดเรื่องภาษีสหรัฐฯ-สินค้าสวมรอย เสี่ยงแพ้เพื่อน