36% ไม่ใช่แค่ตัวเลขทางภาษี แต่คือแรงกดดันทางยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ใช้บีบไทยกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา
หลังจากเปิดโอกาสให้ต่อรองนานกว่า 3 เดือน รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศอย่างเป็นทางการว่า สินค้าทุกชนิดจากประเทศไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 36% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมนี้
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ได้ปรับอัตราภาษีกับประเทศอื่นในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ โดยกัมพูชาซึ่งก่อนหน้านี้ถูกเก็บภาษี 49% ได้รับการลดลงเหลือ 36% เท่ากับไทย ขณะที่เวียดนามอยู่ที่ 20%, เมียนมาและลาว 40%, อินโดนีเซียคงไว้ที่ 32%, มาเลเซียถูกปรับเพิ่มเป็น 25% จากเดิม 1%, ส่วนบังกลาเทศและเซอร์เบียลดลงเหลือ 35% จาก 37% เดิม ทำให้ไทยยังคงถูกเก็บภาษีในระดับที่สูงกว่าหลายประเทศคู่แข่งในอาเซียน
ทั้งนี้ แม้คำประกาศจะอยู่ในรูปของมาตรการภาษี แต่สาระสำคัญกลับแฝงกลยุทธ์ทางยุทธศาสตร์ คือการกดดันให้ไทยต้องตัดสินใจเลือกระหว่างการเปิดตลาดภายในประเทศให้สหรัฐฯ หรือยอมสูญเสียสิทธิการส่งออกที่มีมูลค่าสูงกว่า 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นี่จึงไม่ใช่แค่การปะทะด้านการค้า แต่เป็นบททดสอบทางยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ ว่าไทยจะรับมือกับแรงกดดันจากหนึ่งในประเทศคู่ค้าที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกได้อย่างไร ท่ามกลางความเปราะบางของกลไกตัดสินใจภายใน และความเสี่ยงต่อการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
ดร. พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า จดหมายจากรัฐบาลสหรัฐฯ ฉบับล่าสุดไม่ใช่เพียงประกาศมาตรการลงโทษทางการค้าเท่านั้น แต่สะท้อนความพยายามบีบให้ไทยกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาภายใต้กลยุทธ์ที่ชัดเจนในแนวทาง The Art of the Deal ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ในเนื้อหาจดหมาย นอกจากการแจ้งอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 36% แล้ว สหรัฐฯ ยังระบุเงื่อนไขว่า หากไทยยอม “เปิดตลาด” มากขึ้น อาจมีการทบทวนภาษีดังกล่าว นั่นหมายความว่า สหรัฐฯ กำลังใช้มาตรการทางภาษีเป็นเครื่องมือกดดัน ไม่ใช่แค่แสดงความไม่พอใจต่อข้อเสนอของไทย แต่กำลังสร้างเงื่อนไขต่อรองเพื่อกำหนดทิศทางของการเจรจาอย่างเด็ดขาด
ดร. พิพัฒน์ชี้ว่า ไทยมีความเสี่ยงสูงในการเจรจาครั้งนี้ เพราะมีอำนาจต่อรองต่ำกว่า และมีการพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ สูงกว่าสหรัฐฯ พึ่งพาไทย โดยปัจจุบัน สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย คิดเป็นสัดส่วนราว 18% ของการส่งออกทั้งหมด หรือประมาณ 55,000 ล้านดอลลาร์
หากอัตราภาษี 36% ถูกนำมาใช้จริง สินค้าไทยในกลุ่มหลัก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร และผลิตภัณฑ์ยาง อาจสูญเสียคำสั่งซื้อทันที เนื่องจากผู้ซื้อสามารถหันไปพึ่งผู้ผลิตจากเวียดนามหรือเม็กซิโก ซึ่งไม่ได้ถูกเรียกเก็บภาษีในระดับเดียวกัน
ภาคการผลิตในไทยซึ่งเผชิญต้นทุนสูงอยู่แล้ว จะยิ่งได้รับแรงกดดันหากคำสั่งซื้อลดลงเพราะภาษีสูง ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้คือการเลิกจ้าง หรือต้องพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ไม่มีภาษีกีดกัน
ขณะเดียวกัน การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก็อาจหยุดชะงัก นักลงทุนมีแนวโน้มเลือกตั้งฐานในประเทศที่ปลอดภาษีมากกว่า หากไทยถูกมองว่าไม่สามารถรับประกันเสถียรภาพในการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ได้
ดร. พิพัฒน์ ชี้ว่า การตอบสนองต่อแรงกดดันของสหรัฐฯ ในลักษณะนี้ ทำให้ไทยต้องเลือกระหว่างการ “รักษาสิทธิส่งออก” กับ “การเปิดตลาดภายในประเทศ” โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นภาคที่ได้รับการปกป้องมากที่สุดทั้งจากภาษี โควตา และมาตรการไม่ใช่ภาษี (NTBs)
แม้ภาคเกษตรจะมีสัดส่วนต่อ GDP ไม่มาก แต่เป็นแหล่งจ้างงานขนาดใหญ่ และมีผลกระทบในเชิงสังคมสูง การเปิดตลาดอย่างรวดเร็วอาจส่งผลเสียต่อคนจำนวนมาก ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ยังยกประเด็นสินค้าจีน “สวมสิทธิ์ไทย” มาเป็นหนึ่งในเงื่อนไขการเจรจา ซึ่งอาจกระทบความสัมพันธ์กับจีนโดยตรง
ทั้งนี้ ดร. พิพัฒน์ตั้งข้อสังเกตว่า ปัจจัยที่ซับซ้อนที่สุดอาจไม่ใช่เงื่อนไขจากสหรัฐฯ แต่เป็น “กลไกการตัดสินใจภายในของไทย” ซึ่งอยู่ภายใต้สภาวะการเมืองที่ไม่มีเอกภาพ รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจหลักต่างสังกัดคนละพรรค และบางข้อเสนอที่เป็นเงื่อนไขอาจต้องผ่านรัฐสภา
ในภาวะเช่นนี้ การเจรจาภายใน (internal negotiations) อาจยากกว่าเจรจาระหว่างประเทศ หากขาดกลไกตัดสินใจแบบรวมศูนย์และรวดเร็ว ความล่าช้าอาจถูกตีความว่าไทยไม่มีความจริงจังในการแก้ปัญหา
ในสถานการณ์นี้ ดร. พิพัฒน์เสนอว่า ไทยควรหลีกเลี่ยงแนวทาง zero-sum game และเลือกใช้กลยุทธ์ Give-and-Take โดยออกแบบการเปิดตลาดบางส่วนควบคู่กับมาตรการรองรับผลกระทบ พร้อมยกระดับความสามารถทางเศรษฐกิจในระยะยาว โดยข้อเสนอที่ควรพิจารณา ได้แก่
ดร. พิพัฒน์ชี้ว่า จดหมายจากทรัมป์ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงภัยคุกคามทางการค้า แต่เป็นบททดสอบกลยุทธ์เศรษฐกิจของไทยโดยรวม หากตอบสนองอย่างมีกลยุทธ์ เดินเกมเจรจาแบบ Give-and-Take และเร่งยกระดับขีดความสามารถแข่งขันของประเทศ ไทยอาจไม่เพียงแค่หลีกเลี่ยงภาษี 36% ได้เท่านั้น แต่ยังใช้วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสในการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไปสู่โครงสร้างที่เข้มแข็งและยั่งยืนกว่าเดิม