Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ทรัมป์ส่งกลับผู้อพยพกว่า 350,000 คน กรณีไหนบ้าง โดนจวกว่าไม่โปร่งใส
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ทรัมป์ส่งกลับผู้อพยพกว่า 350,000 คน กรณีไหนบ้าง โดนจวกว่าไม่โปร่งใส

16 ก.ย. 68
15:37 น.
แชร์

ทรัมป์ทำลายสถิติเนรเทศสูงสุดในรอบ 10 ปี

นับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ทันทีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยที่ 2 เขาก็ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษหลายฉบับ หนึ่งในนั้นคือ คำสั่งที่มีชื่อว่า "Protecting the American People Against Invasion" หรือกฎหมายปกป้องชาวอเมริกันจากการรุกราน โดยมีจุดประสงค์เพื่อขยายขอบเขตการเนรเทศแบบเร่งด่วน (expedited removal) เพื่อให้สามารถเนรเทศผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารได้ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการศาลเต็มรูปแบบ

ข้อมูลจากแหล่งข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) แจ้งกับ Fox News Digital ว่า ตัวเลขการเนรเทศทั้งหมดจากทุกหน่วยงานของรัฐบาลกลาง "แตะเกือบ 350,000 คน" แล้ว และยังกล่าวว่า "นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น" ซึ่งตัวเลขล่าสุดนี้ ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา นับเป็นตัวเลขการเนรเทศสูงสุดในรอบ 10 ปี แม้ยังไม่ครบปีก็ตาม

ตัวเลขผู้อพยพที่โดนเนรเทศมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดย NBC News ได้รายงานสถิติล่าสุดเมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา พบว่า ขณะนี้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรสหรัฐฯ หรือ ICE ได้ควบคุมตัวผู้อพยพไว้ในศูนย์กักกันจำนวน 58,381 คน และแบ่งออกเป็นแต่ละกลุ่ม ดังนี้

  • 29.4% ถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญา
  • 25.5% อยู่ระหว่างการพิจารณาว่ามีความผิดทางอาญาหรือไม่
  • 45.8% ถูกขึ้นบัญชีว่าละเมิดกฎหมายการเข้าเมืองอื่น ๆ
  • 11.1% อยู่ในกระบวนการส่งตัวกลับอย่างเร่งด่วน

จากนโยบายจัดการผู้อพยพอย่างเข้มงวด ทั่วโลกจึงได้สังเกตเห็นข่าวรัฐบาลแต่ละประเทศต้องส่งเครื่องบินเหมาลำ เพื่อรับตัวผู้อพยพเหล่านี้และเดินทางออกจากสหรัฐฯ โดยด่วนอยู่หลายครั้ง บ้างเป็นข่าวใหญ่เพราะความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นระหว่างการส่งตัว การตรวจสอบเอกสารที่ผิดพลาด การตีความที่น่าสับสน ตลอดจนความรุนแรงและการเหมารวมในระหว่างที่เจ้าหน้าที่จับกุมตัวผู้อพยพในสหรัฐฯ 

Spotlight รวบรวมคดีดังที่เกิดขึ้นจากการเนรเทศผู้อพยพของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่อาจทำให้ตัวเลขผู้อพยพผิดกฎหมายเบาบางลง แต่สร้างความหมางใจในกลุ่มประชาชนและอาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีกรณีไหนบ้างที่น่าจับตา

เปิดประเดิม ‘ล็อตแรก’ เม็กซิโก - กัวเตมาลา 

หลังจากที่ทรัมป์ขึ้นสู่ตำแหน่งและลงนามในคำสั่งเนรเทศเร่งด่วน อีกไม่กี่วันถัดมา สหรัฐฯ ได้สร้างความตื่นตระหนกในหมู่ผู้อพยพ ไปจนถึงรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้าน สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรสหรัฐฯ (ICE) ได้เริ่มปฏิบัติการกวาดล้างและควบคุมตัวผู้อพยพหลายร้อยคนเพื่อเนรเทศออกนอกประเทศ ในวันที่ 23 มกราคม 2568 

สหรัฐฯ ส่งผู้อพยพผิดกฎหมายกลับไปยังเม็กซิโกมากถึง 4 เที่ยวบิน แต่ความพยายามนั้นล้มเหลว เนื่องจากเม็กซิโกไม่อนุญาตให้เครื่องบินลงจอด อ้างว่าการเนรเทศควรได้รับการยินยอมจากประเทศปลายทางก่อน

อย่างไรก็ตาม แม้จะปฏิเสธเที่ยวบินดังกล่าว แต่รัฐบาลเม็กซิโกก็มีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น โดยได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในเมืองชายแดน และเริ่มสร้างเต็นท์ที่พักชั่วคราวขนาดใหญ่ในหลายเมืองทางตอนเหนือ เพื่อเตรียมรองรับคลื่นผู้อพยพชาวเม็กซิกันจำนวนมากที่อาจถูกเนรเทศจากสหรัฐฯ ในอนาคต

ในวันถัดมา (24 มกราคม 2568) รัฐบาลทรัมป์เดินหน้าใช้เครื่องบินทหารของสหรัฐฯ รุ่น C-17 Globemaster 2 ลำ เพื่อส่งตัวผู้อพยพไปที่กัวเตมาลา โดยมีผู้ถูกเนรเทศประมาณ 80 คนต่อเที่ยวบิน ในวันเดียวกันนั้น มีข้อมูลยืนยันว่า มีการใช้เครื่องบินเช่าเหมาลำอีก 1 ลำ เพื่อส่งตัวผู้อพยพกลับไปยังกัวเตมาลาด้วยเช่นกัน การรับเที่ยวบินเนรเทศดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงและเงื่อนไขที่ทั้งสองประเทศได้พูดคุยกันไว้ก่อนหน้า จึงถือว่าเป็นเที่ยวบินเนรเทศของทรัมป์ ‘ล็อตแรก’ อย่างเป็นทางการ

ศาลสั่งเครื่องบินหันหัวกลับ! อื้อฉาวฮั้วเอลซัลวาดอร์

ต่อมาในเดือนมีนาคม สื่อสหรัฐฯ เผยแพร่ภาพการจับกุมชายที่ถูกโกนหัวทั้งหมด 238 คน ถูกจับใส่กุญแจมือและใส่โซ่ตรวนที่ขา โดยอ้างว่าพวกเขาคืออาชญากรข้ามชาติของ ‘แก๊งเตรน เดอ อารากัว’(Tren de Aragua: TdA)  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเวเนซุเอลา และสหรัฐฯ จับมือกับรัฐบาลเอลซัลวาดอร์ที่จะรับนักโทษเหล่านี้มายังเรือนจำเซโคต์ (Cecot) เป็นเวลา 1 ปี และอาจมีการขยายเวลาได้ในภายหลัง 

เรือนจำแห่งนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นคุกจองจำผู้ก่อการร้ายโดยเฉพาะ รองรับผู้ต้องขังได้ถึง 40,000 คน และมีความแน่นหนาอย่างมาก แต่ลุ่มสิทธิมนุษยชนเคยออกมาโจมตีว่า เป็นคุกที่ละเมิดผู้ต้องขังอย่างร้ายแรง ขณะที่เครื่องบินได้เทคออฟขึ้นไปกลางทางแล้ว ผู้พิพากษา เจมส์ โบสเบิร์ก ได้เรียกพิจารณาเร่งด่วนและมีคำตัดสินให้ระงับคำสั่งที่ไม่เป็นธรรมนี้เป็นการชั่วคราว แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งกระบวนการนี้ได้ แต่

ดรามายังไม่จบเท่านั้น เพราะทนายความของผู้ที่ถูกเนรเทศบางส่วนยืนยันได้ว่า ลูกความของเขาไม่ได้ก่ออาชญากรรมใด ๆ แต่เป็น ‘ลูกหลง’ ที่โดนกวาดล้างไปด้วยเพียงเพราะอยู่ในที่เกิดเหตุ กรณีของ คิลมาร์ อะเบรโก การ์เซีย ชายชาวเอลซัลวาดอร์ผู้ถูกส่งตัวไปกักขังในคุกเพราะ “ความผิดพลาดในการดำเนินงาน” ของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 

สร้างคุกในอ่าวกวนตานาโม ส่งผู้อพยพไปคิวบา

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ สั่งให้ก่อสร้างศูนย์กักกันผู้อพยพขึ้นในอ่าวกวนตานาโม ซึ่งเขาระบุว่า จะสามารถรองรับผู้อพยพผิดกฎหมายที่กระทำผิดได้มากถึง 30,000 คน โดยทรัมป์กล่าวว่า สถานที่กักกันแห่งใหม่นี้ ตั้งอยู่ภายในฐานทัพเรือของสหรัฐฯ ในคิวบา ซึ่งจะถูกใช้สำหรับคุมขัง “อาชญากรต่างด้าวผิดกฎหมายที่เป็นภัยต่อชาวอเมริกัน” 

แผนการนี้มีจุดประสงค์เพื่อบรรเทาความแออัดของศูนย์กักกันผู้อพยพที่ชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก และส่งข้อความที่ชัดเจนถึงผู้อพยพว่าสหรัฐฯ จะใช้มาตรการที่แข็งกร้าวที่สุด เพื่อหยุดการหลั่งไหลเข้าเมืองผิดกฎหมาย

ทั้งนี้ อ่าวกวนตานาโมถูกใช้เป็นที่พักของผู้อพยพมาโดยตลอด แต่ความเคลื่อนไหวนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชน ผู้ที่ถูกควบคุมตัวที่อ่าวกวนตานาโมจะไม่มีสิทธิได้รับกระบวนการทางกฎหมายตามปกติเหมือนที่ได้รับในศาลสหรัฐฯ เนื่องจากฐานทัพแห่งนี้ตั้งอยู่นอกเขตอำนาจศาลของสหรัฐฯ ทำให้การกักกันอาจไม่มีการจำกัดเวลาและไม่มีการไต่สวนอย่างเป็นธรรม

บุกโรงงานฮุนได สร้างรอยร้าวเกาหลี-สหรัฐฯ

ต้นเดือนกันยายนที่ผ่าน มีอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวสร้างความตื่นตระหนกปนความโกรธแค้นให้ชาวเกาหลีใต้ เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ สั่งเจ้าหน้าที่นับพันนายบุกเข้าจับกุมแรงงานชาวเกาหลีใต้ในโรงงานผลิตแบตเตอรีของบริษัทฮุนไดและแอลจี แม้ว่าการส่งแรงงานเหล่านี้มาทำงานให้สหรัฐฯ เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงทางการค้าที่สหรัฐฯ ทำไว้กับเกาหลีใต้ 

ปัญหาเรื่องวีซ่าการทำงานในสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่พนักงานมีทักษะชาวเกาหลีใต้เผชิญมาตลอด แต่ในเหตุการณ์บุกกวาดล้างจับกุมครั้งนี้  เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองอ้างว่า แรงงานชาวเกาหลีใต้หลายคนเดินทางเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายหรืออยู่เกินกำหนดวีซ่า แต่ทนายความของคนงานบางส่วนยืนยันว่าลูกความของพวกเขาทำงานอย่างถูกกฎหมาย

ทั้งนี้ แรงงานชาวเกาหลีใต้มากกว่า 300 คนที่ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองในรัฐจอร์เจียควบคุมตัวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้เดินทางกลับถึงกรุงโซลแล้วเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 มีคนกลุ่มเล็ก ๆ รอคอยการมาถึงของพวกเขา โดยมีการชูป้ายผ้าใบผืนใหญ่ที่เป็นรูปเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองถือปืนและโซ่ตรวน พร้อมสวมหน้ากากใบหน้าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และมีข้อความเขียนว่า “เราเป็นเพื่อนกัน! ไม่ใช่เหรอ?” ชี้ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศต้องสั่นคลอน

ส่งกลับแอฟริกา แต่ไม่ใช่บ้านเกิด

นโยบายเนรเทศของทรัมป์ในสมัยที่สองครอบคลุมถึงกลุ่มประเทศในทวีปแอฟริกาด้วย มีรายงานว่า สหรัฐฯ ได้ส่งตัวผู้อพยพที่ถูกเนรเทศไปยังประเทศในแอฟริกาหลายแห่ง โดยเฉพาะ กานา เอสวาตินี รวันดา และยูกันดา

หลายฝ่ายเชื่อว่าสหรัฐฯ ใช้มาตรการทางการค้าหรือการให้ความช่วยเหลือเพื่อกดดันให้ประเทศเหล่านี้ยอมรับผู้ถูกเนรเทศ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าผู้อพยพบางส่วนที่ถูกส่งไปยังประเทศเหล่านี้ต้องเผชิญกับสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้ายหรือถูกกักขังในเรือนจำ

กานาและยูกันดาเป็นสองประเทศที่ตกลงยอมรับผู้อพยพชาวแอฟริกันจากประเทศอื่นเข้ามาในประเทศ ทำให้ต้องเผชิญกับข้อถกเถียงที่ว่าการส่งชาวไนจีเรียและแกมเบียไปยังกานา ถูกตั้งคำถามอย่างหนักเกี่ยวว่าชอบด้วยกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่

ล่าสุด มีรายงานว่ากลุ่มชาวแอฟริกาตะวันตก 14 คน ซึ่งรวมถึงชาวไนจีเรีย 13 คน และชาวแกมเบีย 1 คน ได้เดินทางถึงกานาแล้ว หลังจากถูกเนรเทศจากสหรัฐฯ ประธานาธิบดีจอห์น มาฮามา ของกานา ระบุว่าประเทศของเขาตกลงที่จะรับชาวแอฟริกาตะวันตกเหล่านี้ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม และยืนยันว่า การตัดสินใจนี้ไม่ได้เป็นการสนับสนุนนโยบายคนเข้าเมืองของทรัมป์ และกานาไม่ได้รับผลประโยชน์ทางการเงินใด ๆ

เวียดนาม - ลาว แม้กลุ่มน้อยก็ไม่รอด

การเนรเทศผู้อพยพชาวเวียดนามและลาวเป็นประเด็นที่สร้างความขัดแย้งอย่างมากในระหว่างการบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ เนื่องจากผู้อพยพจำนวนมากในกลุ่มนี้คือผู้ลี้ภัยสงครามที่เข้ามาในสหรัฐฯ ตั้งแต่ยังเด็กและอาศัยอยู่ที่นี่มานานหลายสิบปี ผู้อพยพส่วนใหญ่เดินทางมาถึงสหรัฐฯ ในฐานะผู้ลี้ภัยหลังสงครามเวียดนามสิ้นสุดลงในปี 1975 แม้จะได้รับสถานะผู้ลี้ภัย แต่หลายคนก็ไม่ได้ถือสัญชาติสหรัฐฯ และบางส่วนถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญา ซึ่งทำให้พวกต้องถูกเนรเทศ

ก่อนหน้ารัฐบาลทรัมป์ สหรัฐฯ มีข้อตกลงกับเวียดนามว่าจะไม่เนรเทศผู้ที่เดินทางมาถึงสหรัฐฯ ก่อนปี 1995 ซึ่งเป็นปีที่ทั้งสองประเทศรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ แต่รัฐบาลทรัมป์ได้พยายามเปลี่ยนแปลงข้อตกลงนี้ โดยยืนยันที่จะเนรเทศชาวเวียดนามทุกคนที่มีประวัติอาชญากรรม ไม่ว่าจะเดินทางมาถึงสหรัฐฯ เมื่อใดก็ตาม

ในสมัยที่สองของทรัมป์ การเนรเทศกลุ่มนี้มีความเข้มข้นขึ้น มีรายงานว่ามีการส่งตัวชาวเวียดนามและชาวลาวกลับไปยังประเทศต้นทางอย่างต่อเนื่อง โดยในหลายกรณี ผู้ที่ถูกเนรเทศมักจะถูกแยกจากครอบครัว ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ถือสัญชาติสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นคู่สามี-ภรรยา และรุ่นลูก-หลาน ซึ่งการที่รัฐบาลทรัมป์พยายามบีบให้เวียดนามและลาวรับตัวผู้อพยพที่พวกเขาไม่ได้ยอมรับว่าต้องรับผิดชอบนั้น สร้างความตึงเครียดทางการทูตอย่างมาก 


แชร์
ทรัมป์ส่งกลับผู้อพยพกว่า 350,000 คน กรณีไหนบ้าง โดนจวกว่าไม่โปร่งใส