คำตัดสินของศาลฎีกาบราซิลให้อดีตประธานาธิบดีโบลโซนารูจำคุก 27 ปี 3 เดือน เป็นรอยแยกรอยหนึ่งที่ทำให้เราพอมองเห็นความแตกแยกในสังคมบราซิลได้ ความแตกแยกระหว่างฝ่ายขวาและซ้ายที่สร้างความรุนแรงหลายครั้งในสังคมบราซิล
อ่านชีวิตและความพยายามรัฐประหารของโบลโซนารูที่นี่
บราซิลเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคลาตินอเมริกา ปกครองด้วยระบอบการปกครองแบบสหพันธรัฐสาธารณรัฐระบบประธานาธิบดี ซึ่งมีประธานาธิบดีเป็นประมุขและหัวหน้ารัฐบาล
บราซิลมีพรรคการเมืองหลายพรรค ซึ่งส่วนมากก่อตั้งขึ้นหลังสิ้นสุดยุครัฐบาลทหารของบราซิล รัฐสภาชุดปัจจุบันประกอบไปด้วยพรรคการเมือง 21 พรรค ผสมปนทั้งฝ่ายซ้ายและขวา
แนวคิดเสรีนิยมปรากฏในบราซิลตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 และเป็นแรงขับเคลื่อนสู่การประกาศอิสรภาพและรากฐานการสร้างจักรวรรดิบราซิลและรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศ เห็นได้จากจักรพรรดิคนแรก ดอม เปโดร ที่เชื่อว่าเป็น “แชมเปี้ยนแห่งแนวคิดใหม่” และได้รับอิทธิพลจากนักคิดเสรีนิยมฝรั่งเศสมามาก และเชื่อว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบเดิมไม่สามารถอยู่รอดในโลกใหม่ได้
แน่นอนว่าแนวคิดใหม่ต้องมีคนแย้ง ความขัดแย้งในยุคแรกเริ่มปรากฏผ่านความต่างด้านการกระจายอำนาจ ฝ่ายเสรีนิยมสนับสนุนการกระจายอำนาจ ในขณะที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมเห็นต่าง สองแนวคิดอยู่ร่วมกันอย่างไม่ราบรื่นมาตลอด จนถึงจุดแตกหักในปี 1930 ในยุคประธานาธิบดีเฌตูลียู วาร์กัส ที่เขาปฏิวัติผู้ชนะเลือกตั้ง ดำรงตำแหน่งชั่วคราว และได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ยึดอำนาจตัวเอง และเปลี่ยนการปกครองเป็นเผด็จการ และสืบทอดแนวคิดอนุรักษ์นิยมถึงปัจจุบัน
อำนาจฝ่ายขวาในสังคมบราซิลมีหลายหน้า ซึ่งปรากฏชัดที่สุดตั้งแต่สิ้นยุคทหารหลายสิบปีก่อนอีกครั้งในยุคโบลโซนารู
หน้าแรกเป็นมรดกจากยุคการปกครองโดยทหารที่รัฐประหารประธานาธิบดีจัว โกลาร์ท อันได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และคนชั้นกลางจำนวนมาก มีรากฐานหยั่งลึกในความเกลียดกลัวคอมมิวนิสต์
ต่อมาคือคนที่เชื่อในระบอบนาซีใหม่ ที่เข้ามาพร้อมผู้อพยพเยอรมันระหว่างทศวรรษที่ 1920-1930 ตั้งรกรากในบราซิลและประเทศอื่น ๆ ในอเมริกาใต้ ทำให้ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 บราซิลเป็นประเทศนอกยุโรปที่มีสมาชิกพรรคนาซีมากที่สุด แม้จะถูกกวาดล้างไปแล้ว แต่ลัทธินี้ยังคงอยู่ ยังเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนของโบลโซนารู รายงานปี 2021 ชี้ว่า มีกลุ่มลัทธินาซีใหม่อย่างน้อย 500 กลุ่มในบราซิล โดยเฉพาะทางตอนใต้ของประเทศ
นอกจากลัทธินาซี อีกลัทธิที่มาจากยุโรปและฝังรากในบราซิลคือลัทธิฟาสซิสต์ พรรคการเมืองฟาสซิสต์ The Brazilian Integralist Action ก่อตั้งในปี 1932 ยึดถือความคิดทางการเมืองผสมผสานระหว่างชาตินิยม ลัทธิศาสนา และองค์กรนิยม เชื่อว่าคริสตศาสนานิกายโรมันคาทอลิกคืออัตลักษณ์แห่งชาติ ต่อต้านลัทธิเสรีนิยม และรัฐสภานิยม แต่ที่ต่างจากกลุ่มนาซีคือ กลุ่มนี้เปิดกว้างให้คนหลากหลายสีผิว ไม่ใช่นิยมแต่คนขาว
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายเสรีนิยมนำโดยพรรคแรงงาน ก็มีผู้สนับสนุนหลากหลาย ลูลา ดา ซิลวา เป็นประธานาธิบดีคนแรกของบราซิลที่มาจากพื้นเพชนชั้นแรงงาน และชนะการเลือกตั้งถึง 3 ครั้ง ด้วยการสนับสนุนจากคนชนชั้นแรงงาน ผู้มีรายได้ต่ำ คนในชนบท ผู้หญิง คนผิวสีและชาติพันธุ์ต่าง ๆ กล่าวอย่างง่ายคือ กลุ่มที่มีอำนาจน้อยกว่าในสังคม ส่วนอภิสิทธิชนยังคงมีแนวโน้มสนับสนุนแนวคิดอนุรักษ์นิยมต่อไป
เพียงมองผ่านชีวิตการเมืองของประธานาธิบดีคนที่ 38 เราก็พอเห็นความรุนแรงและแตกแยกปรากฏอยู่ในโลกการเมืองบราซิลแล้ว ความแตกแยกฝังรากลึกในสังคม และผุดขึ้นมาให้เห็นได้ชัดในช่วงการเลือกตั้ง อาทิเช่นครั้งล่าสุดเมื่อปี 2022
แนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างหมายถึงความแตกแยกสำหรับคนบราซิล ผลสำรวจจาก Pew Research ชี้ว่า คนบราซิลส่วนใหญ่ (80%) มองเห็นความขัดแย้งรุนแรงถึงรุนแรงมากระหว่างคนที่สนับสนุนพรรคการเมืองแตกต่างกัน แต่ในตัวผู้นำทั้งสองที่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีก็เช่นเดียวกัน ผลสำรวจชี้ว่า คนบราซิลมอง ลูอิส อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ดีกว่า ฌาอีร์ โบลโซนารู “เล็กน้อย”
ลูลาได้คะแนนนิยมจากคนอายุน้อย คนผิวดำ และคนเชื้อชาติผสม (mixed-race) คนการศึกษาต่ำ และคนรายได้น้อย และจากคนในพื้นที่ห่างไกลมากกว่าในเมือง
กลับกัน โบลโซนารูได้คะแนนนิยมจากผู้ชายมากกว่าผู้หญิง จากคนรายได้สูง คนเมือง และคนผิวขาวยังนิยมโบลโซนารูมากกว่าคนผิวสีอีกด้วย
งานวิจัยจัดทำขึ้นระหว่าง 26 มกราคม - 11 มีนาคม 2024 พบว่า การสนับสนุนพรรคการเมืองที่แตกต่าง เป็นสาเหตุของการมองเห็นถึงความขัดแย้งกว่า 80% ของผู้ตอบแบบสำรวจ ตามมาด้วยเชื้อชาติที่ 61% ศาสนาที่ 57% และภูมิภาคที่อยู่อาศัย 35%
แบบสำรวจยังพบว่า คนอายุน้อย (18-34 ปี) มองเห็นความขัดแย้งทางศาสนามากกว่าคนอายุ 50 ปีขึ้นไป (70% และ 45% ตามลำดับ) รวมไปถึงด้านเชื้อชาติด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ประชาชนฝ่ายซ้ายมองเห็นความขัดแย้งด้วยสาเหตุทางแนวคิดมากกว่าฝ่ายขวา (69% และ 51% ตามลำดับ)
ความเชื่อใจนั้นก็มีระดับต่ำในบราซิล ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 81% คิดว่าคนส่วนใหญ่นั้นเชื่อถือไม่ได้ และคน 74% คิดว่าคนส่วนใหญ่มุ่งหาประโยชน์ให้ตนเอง ทำให้มีคนเพียง 17% เชื่อว่าคนอื่น ๆ นั้นเชื่อใจได้ และคน 24% พร้อมจะช่วยเหลือผู้อื่น ผู้ชายในบราซิลมีแนวโน้มจะมีความเชื่อในสังคมมากกว่าผู้หญิง และคนมีการศึกษาสูงมีแนวโน้มคิดว่าคนทั่วไปนั้นเห็นแก่ตัวมากกว่าคนการศึกษาต่ำ
ความแตกแยกด้านแนวคิดทางการเมืองประทับบราซิล และครั้งที่โดดเด่นที่สุดก็คือ ม็อบผู้สนับสนุนโบลโซนารูที่ไม่อาจรับผลการเลือกตั้งปี 2022 ได้ และก่อม็อบบุกรุกอาคารรัฐบาลหลายแห่ง ซึ่งเปิดเผยภายหลังว่ามีอดีตประธานาธิบดีโบลโซนารูอยู่เบื้องหลัง พร้อมกับความพยายามอีกหลายข้อในการรัฐประหาร ล้มล้างระบอบประชาธิปไตยของประเทศ