ณาอีร์ โบลโซนารู อดีตประธานาธิบดีบราซิลต้องใช้ชีวิตบั้นปลายในห้องขัง เพราะเมื่อวานนี้ (11 กันยายน 2568) ศาลฎีกาบราซิลมีคำสั่งตัดสินอดีตประธานาธิบดีวัย 70 ปี ให้จำคุกเป็นเวลา 27 ปี 3 เดือน ในข้อหาพยายามก่อรัฐประหารหลังแพ้เลือกตั้งในปี 2022
ณาอีร์ เมซีอัส โบลโซนารู (Jair Messias Bolsonaro) คือประธานาธิบดีคนที่ 38 ของบราซิล ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2019-2023 ย้อนไปรู้จักที่จุดเริ่มต้น โบลซานารูเกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 1955 ในเมืองเซาเปาลูประเทศบราซิล เช่นเดียวกับผู้นำหลายคน เขาจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหาร
เขาเรียนที่โรงเรียนทหาร Military Academy of Agulhas Negras ก่อนเริ่มชีวิตทหารที่กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 9 และกองพันปืนใหญ่อื่น ๆ รวม 17 ปี ต่อมา ได้รับคำบรรยายจากผู้บังคับบัญชาว่าเป็นคน “เกรี้ยวกราด” และ “ทะเยอทะยานอย่างยิ่งให้ได้มาเพื่อผลประโยชน์ทางการเงินและเศรษฐกิจ” จาการที่เขาพยายามขุดทองในรัฐบาเยียของบราซิล แต่เจ้าตัวกล่าวว่า เป็นเพียงงานอดิเรกเท่านั้น
เริ่มเป็นที่รู้จักจากบทความที่เขียนให้นิตยสาร Veja วิจารณ์ค่าจ้างนายทหารอันน้อยนิด ซึ่งทำให้เขาถูกจับกุมและกักตัวกว่า 15 วัน นั่นเป็นจุดที่ทำให้เขาลาออกจากกองทัพ แต่ยังคงเป็นที่นับถือในหมู่เพื่อนและครอบครัวทหาร และเป็นที่นิยมในหมู่ฝ่ายขวาที่กำลังไม่พอใจรัฐบาลประชาธิปไตยพลเรือนในขณะนั้น
ต่อมาในปี 1988โบลซานารูได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองริโอ เดอ จาเนโร และในปี 1989 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหพันธรัฐบราซิล ที่เขาดำรงตำแหน่งต่อเนื่องถึง 7 สมัยรวม 27 ปี จนถึงปี 2016 เมื่อเขาเริ่มหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี
ระหว่างการทำงานในฐานะสส. นี่เอง เขาเป็นที่รู้จักกว้างขึ้นในฐานะ สส.ฝ่ายขวาที่สับสนุนแนวคิดอนุรักษ์นิยม อย่างไรก็ตามเขาสังกัดพรรคการเมืองเล็ก ๆ ชื่อ Social Liberal Party ที่เป็นพรรคสายกลางก่อนจะเอนขวาขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยอิทธิพลของโบลโซนารู
เขาชนะผู้สมัครฝ่ายซ้ายจากพรรค Worker’s Party เฟรนานโด ฮาดดาด ด้วยคะแนน 46% ต่อ 29% อย่างไรก็ตามโบลโซนารูออกจากพรรค SPL ไม่นานหลังชนะเลือกตั้งเพราะความขัดแย้งกับหัวหน้าพรรค
ระหว่างการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โบลโซนารูเน้นทำงานเกี่ยวกับกิจการภายในประเทศ เพื่อแก้ไขวิกฤตทางเศรษฐกิจบราซิลในปี 2014 เศรษฐกิจบราซิลค่อย ๆ ดีขึ้น และสถิติอาชญากรรมลดลงอย่างรวดเร็วในการบริหารงานสมัยแรก
สิ่งหนึ่งที่เขาทำตามนโยบายหาเสียงคือ การทำให้การครอบครองที่ดินของชนพื้นเมืองเป็นไปได้ยากขึ้น ด้วยการให้อำนาจการระบุขอบเขตที่ดินกับรัฐมนตรีเกษตรฝ่ายขวา ที่เรียกคนพื้นเมืองว่า “ตัวการโลกร้อน”
อีกข้อที่ถูกวิจารณ์กันกว้างขวางคือ การรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยการรับมืออย่างที่ผู้นำสูงวัยฝ่ายขวาหลายคนทำ ณ ขณะนั้นคือ การลดทอนความร้ายแรงของการระบาด คัดค้านมาตราการกักตัว ทั้งที่ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งสูงต่อเนื่อง บราซิลมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 37 ล้านคน และเสียชีวิตราว 700,000 คน
ยังมีการตัดงบการศึกษากลาง ผ่อนปรนการครอบครองปืน รั้งสิทธิคนเพศหลากหลายและอนามัยเจริญพันธ์ุ และอื่นๆ อีกมาก ฉุดรั้งความนิยมของเขาให้ลดลง
เขาดำรงตำแหน่งโดยไม่มีพรรคการเมืองระยะหนึ่งก่อนเข้าร่วม Liberal Party พรรคสายกลางค่อนขวาเมื่อปลายปี 2021 เพื่อลงสมัครเลือกตั้งสมัยต่อไป การเลือกตั้งที่เขาแพ้ พยายามรัฐประหาร และถูกสั่งจำคุก 27 ปี
ในข่วงท้ายของการดำรงตำแหน่ง บราซิลเผชิญทั้งเงินเฟ้อสูง ผลพวงจากโควิดทำให้ความยากจนพุ่งสูง วิกฤตทางการศึกษา และอัตราอาชญากรรมที่มากขึ้น ดังนั้น ปัญหาต่าง ๆ และการตัดสินใจน่ากังขาหลายครั้งของเขา จึงส่งผลให้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งที่สอง โบลโซนารูไม่ชนะอย่างเคย เขาแพ้ให้ผู้สมัครจากพรรคแรงงาน ลูอิส อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา (Luiz Inacio Lula da Silva) ผู้เคยเป็นประธานาธิบดีบราซิลมาก่อน 2 ครั้ง และเป็นนักโทษคดีคอร์รัปชัน
เขาแพ้อย่างฉิวเฉียดด้วยคะแนนเสียง 49.1% ต่อ 50.9% ในเดือนตุลาคมปี 2022 เมื่ออดีตมีแต่ความสำเร็จและการถูกเลือก คงไม่แปลกที่คนเราจะยอมรับความพ่ายแพ้ได้ยาก
ประชาชนฝ่ายขวาหลายคนไม่อาจยอมรับผลการเลือกตั้งที่ออกมา พวกเขาประท้วงผลการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่องด้วยการตั้งแคมป์หน้าค่ายทหารหลายแห่งทั่วประเทศ ปิดถนน และคอยเรียกร้องให้ทหารเข้าแทรกแซง จุดแตกหักคือ 8 มกราคม 2566
วันนั้นเอง ม็อบผู้สนับสนุนโบลโซนารู แต่งกายด้วยสีธงชาติ และห่มธงชาติตามสไตล์ฝ่ายอนุรักษ์นิยม เดินทางเข้าโจมตีอาคารรัฐบาลกลางหลายแห่งของบราซิล อย่างสภาคองเกรส ทำเนียบรัฐบาล และศาลฎีกา ในกรุงบราซิเลีย ม็อบบุกเข้าไปในอาคาร และเรียกร้องให้ทหารเข้าควบคุมรัฐบาล
ในค่ำวันเดียวกัน กองกำลังรักษาความปลอดภัยสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ และจับกุมผู้ชุมนุมหลายร้อย แต่การบุกอาคารของผู้สนับสนุนไม่ใช่ความพยายามเดียวของโบลโซนารู
หลังสืบสวนมานานเกินปี ตำรวจสหพันธบราซิลจับกุมเขาและพวกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2024 ชี้ว่า โบลโซนารูและคนใกล้ชิดของเขาอีกหลายสิบคนรวม 37 คน ร่วมมือกันวางแผนโค้นล้มประชาธิปไตยผ่านการรัฐประหารจากฝ่ายขวา
และเมื่อวานนี้เอง ศาลฎีกาบราซิลมีตัดสินให้อดีตประธานาธิบดีโบลโซนารูมีความผิดใน 5 ข้อหา คือ:
อัยการกล่าวหาว่า เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการใช้อาวุธสงคราม วัตถุระเบิด และการลอบสังหาร ลูลา ดา ซิลวา และรองประธานาธิบดี เจรัลโด อัลค์มิน ก่อนเข้ารับตำแหน่งไม่กี่วัน แต่ล้มเหลวเพราะมีข้อมูลรั่วไหลว่า หน่วยปฏิบัติการพิเศษกำลังหาทางสังคาร ลูลา ดา ซิลวา ด้วยการวางยาให้อวัยวะล้มเหลว
ทั้งยังมีส่วนกับความพยายามสังหาร ผู้พิพากษาอเล็กซานเดอร์ เด โมราเอส ผู้รับผิดชอบคดีของโบลโซนารู ชี้ว่า มีกลุ่มทหารติดอาวุธหนักประจำการใกล้บ้านของ รอรับคำสั่งสังหาร
หลักฐานที่ใช้เอาผิดเขาได้คือ ความพยายามที่จะรั้งตัวเองไว้บนเก้าอี้ประธานาธิบดีหลังแพ้การเลือกตั้ง การกดดันให้ทหารยื่นมือมาแทรกแซง และการตั้ง “สำนักงานบริหารจัดการวิกฤต” เพื่อควบคุมรัฐบาลควบคู่กัน
อัยการยังชี้ว่า แผนการรัฐประหารถูกวางเอาไว้ตั้งแต่ปี 2021 ด้วยความพยายามทำให้ประชาชนไม่เชื่อในระบอบเลือกตั้ง
ทั้งหมดสรุปได้ว่า เขารู้เห็นอย่างเต็มที่กับเหตุการณ์เหล่านี้ และถูกตัดสินจำคุก 27 ปี 3 เดือน และอาจเป็นบั้นปลายของบุคคลสำคัญทางการเมืองบราซิลที่ชูอนุรักษ์นิยมมายาวยนาน
โบลโซนารูมีพื้นเพชีวิตในกองทัพหลายสิบปี แนวคิดฝักใฝ่ทางทหารจึงส่งผลกระทบกับแนวคิดทางการเมือง ขณะเขาดำรงตำแหน่งร้อยเอกในกองทัพ โบลโซนารูกล่าวถึงความชื่นชมต่อรัฐบาลทหารที่ปกครองบราซิลระหว่างปี 1964-1985 และชื่นชมอีกครั้งระหว่างแคมเปญหาเสียงปี 2018
ตัวของเขาเองเป็นที่วิจารณ์มายาวนาน แนวคิดทางสังคมหลายข้อที่เขาเคยกล่าวถึง อาทิ การสนับสนุนเพิ่มการลงโทษให้เข้มงวด การเห็นชอบให้ผ่อนคลายกฎระเบียบการครอบครองปืน และต้องการให้นำโทษประหารกลับมา
เขาแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าต่อต้าน สมรสเท่าเทียม การผ่าตัดแปลงเพศ การทำแท้ง และแนวคิดโลกเสรีนิยมอีกหลายข้อ อาทิ ฆราวาสนิยม หรือการปกครองโดยไม่มีอิทธิครอบงำจากสถาบันศาสนา การลดความเป็นอาชญากรรมของยาเสพติดบางประเภท
ระหว่างการบริหารงานของเขา บราซิลสนิทชิดเชื้อกับสหรัฐฯ และอิสราเอล มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาทิ การปฏิเสธรักษาตัวในโรงพยาบาลอาหรับ หรือการกล่าวว่า จะปิดสถานทูตปาเลสไตน์ในบราซิล อีกทั้งด้วยนโยบายที่เน้นผลประโยชน์ของบราซิล กิจการภายใน และเพื่อคนบราซิล (เว้นคนพื้นเมือง) เขาถูกเปรียบเทียบโดยสื่อบราซิลว่าเป็น “ทรัมป์เวอร์ชั่นบราซิล” หรือแฝดทรัมป์ที่ถูกแยกอกจากกันเมื่อแรกคลอด และรัฐบาลของเขายังมองสหรัฐฯ เป็นพัทธมิตรสำคัญ เห็นด้วยกับนโยบายหลายอย่างของทรัม์อาทิ ความสัมพันธ์ทวิภาคีที่เท่าเทียม การลงทุนกับกลาโหม ป้องกันชายแดนประเทศให้มั่นคง และให้มองสหรัฐฯ เป็นพันธมิตรสำคัญที่จะช่วยจัดการปัญหาของทวีปอเมริการ่วมกัน กล่าวคือ เวเนซูเอลา
เพียงมองผ่านชีวิตการเมืองของประธานาธิบดีคนที่ 38 ก็พอเห็นความรุนแรงและแตกแยกปรากฎอยู่ในโลกการเมืองบราซิล ฝังรากลึกในสังคม และผุดขึ้นมาให้เห็นได้ชัดในช่วงการเลือกผู้นำประเทศ